Category Archives: เต๋า

ความอ่อนนุ่มย่อมยืนยาว

923001_10152825790035644_1342480560_n

อาจารย์สอนไทเก็กผมบอกว่า
คนที่จะมีอายุยืนยาวสุขภาพดี ไม่ใช่คนที่ร่างกายกำยำ
แต่เป็นคนที่ยังมีร่างกายยืดหยุ่น

เพราะความติดขัดของกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น เป็นสิ่งที่ทำให้พลังชีวิต หรือแร่ธาตุไหลเวียนไม่ดี
และก็จริงดังว่า ผมสังเกตคนรำไทเก็กแก่ๆ ที่ยังยืดเส้นได้ดี
มักจะแข็งแรง ร่าเริง และกระฉับกระเฉง ไม่ป่วยออดๆแอดๆ
ถ้าไปเทียบกับลัทธิเต๋า ความอ่อนนุ่มย่อมยืนยาว
เหมือนลิ้นที่ไม่ร่วงดังฟันเมื่ออายุมาก ต้นหญ้าที่ไม่โค่นดังต้นไม้เจอพายุ

Share

หมอจีนกับอาการร้อนใน

ยุคนี้เหมือนคนจะเป็น “ร้อนใน” กันเยอะครับ ชีวิตที่รีบเร่ง อาหารการกิน รวมไปถึงการพักผ่อนไม่เพียงพอล้วนแล้วแต่เป็นต้นเหตุของการ “ร้อนใน” ทั้งนั้น เดี๋ยววันนี้เรามาพูดถึงว่าหมอจีนมองอาการ “ร้อนใน”เป็นอย่างไร

อาการ “ร้อนใน” คืออะไร? คร่าวๆก็คงมีอาการเหงือก กระพุ้งแก้ม ริมฝีปาก ลิ้นที่จู่ๆก็เป็นแผล (ไม่นับแผลที่กัดเองนะ) คอแห้ง ปากขม หิวน้ำ เจ็บคอ สิวขึ้น ตาแห้ง โพรงจมูกแห้ง ท้องผูก เป็นต้น ผมเคยร้อนในถึงขั้นรู้สึกว่าจมูกร้อนวูบวาบ ได้กลิ่นเลือด เหมือนเลือดกำเดาจะไหลเลยนะ


คำว่า “ร้อนใน” นี้ถ้าจับมาอธิบายก็คงได้ความว่า มี “ไฟ” มาเผาทำให้ข้างในร่างกายเราร้อน ซึ่งอาการที่บอกมาข้างบนก็เหมือนอาการโดนไฟเผาจริงๆ เพราะฉะนั้นต้นกำเนิดของ “ร้อนใน” มาจาก “ไฟ”ครับ

แล้ว “ไฟ” ในร่างกายมาจากทางไหนได้บ้างละ เราจะได้ไปตัดไฟแต่ต้นลม อาการร้อนในก็จะหายไปเอง ตรงนี้ขอแบ่งไฟออกเป็นสองแบบ

หนึ่งคือ ร้อนจริงไฟจริง ไม่มีตัวแสดงแทน โดยมากมักมาจากอาหารการกินครับ หรือที่เราเรียกว่ากินของร้อนใน เช่น กินของ ทอด ของมันๆ ขนม น้ำตาล ทุเรียน ลำไย เหล้า้เบียร์ เป็นต้น พอกินอาหารพวกนี้ลงไป กระเพาะจะร้อน ธาตุไฟเผาขึ้นจึงเกิดอาการร้อนในดังที่ว่า กลุ่มนี้กินพวกยาขม ยาแก้ร้อนในที่ขายกันตามท้องตลาด มะระ สาลี่ บอระเพ็ด ฟ้าทะลายโจร แตงกวา ฟัก อาหารที่มีฤทธิ์เย็นต่างๆ ไปดับร้อน หรือไม่ก็ดูแลการขับถ่ายให้ปกติ เมื่อไฟที่กระเพาะมีทางออก ร้อนในก็จะหายไปเอง รักษาค่อนข้างง่าย แต่ไม่ควรกินระยะยาว เพราะอาหารธาตุเย็นมันทำลายระบบการย่อยอาหารของคนครับ ผมจึงไม่สนับสนุนการกินฟ้าทะลายโจรในระยะยาวโดยคิดว่ามันเป็นยาอายุวัฒนะ

ร้อนในชนิดร้อนจริงนี้ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมาก เพราะนี่คือร้อนในแบบที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ ทั้งยังคิดว่ามันมีอยู่แบบเดียวด้วยซ้ำ ซึ่งผิดมากๆ การเข้าใจผิดครั้งนี้ทำให้สุขภาพของคนไทยย่ำแย่โดยที่ไม่รู้ตัวเลย

“ร้อนใน” คำนี้จริงๆแล้วผมว่าตั้งชื่อได้ไม่ถูกต้องซะทีเดียวนะครับ เพราะมันทำให้คนเข้าใจว่ามีไฟอยู่ข้างใน อีกทั้งคนไทยเ้ข้าใจว่าประเทศไทยเป็นเมืองร้อน เพื่อความสมดุลจึงควรกินของเย็นๆเข้าไป หวังดับไฟอันนั้นซะ ซึ่งผิด ผิด และผิด

นี่จึงเป็นที่มาที่ผมต้องพูดถึงร้อนในประเภทที่สอง นั่นคือ “ร้อนนอกแต่เย็นใน” เรียกง่ายๆว่า “ร้อนปลอม”ครับ ตรงนี้ต้องใช้หยินและหยางมาอธิบาย หยินคือเย็น เปรียบเหมือนเครื่องจักร หยางคือร้อน เปรียบเหมือนพลังงาน ทุกวี่วันนี้คนเราใช้พลังงานเยอะมาก นอนน้อย ทำงานหนัก ชอบกินของเย็นๆ (น้ำแข็ง ไอศครีม) ล้วนแล้วแต่ใช้หยางทั้งนั้น ใช้เยอะของมันก็ต้องหมด หยางพร่องหยินก็จะแข็งแรง เนืองจากสภาวะปกติมันคานอำนาจกันอยู่ พอหยางอ่อนแรงลงหยินที่เยอะกว่าจึงผลักหยางออกไป กฎธรรมชาติข้อนี้สามารถเห็นได้ในทุกๆเรื่องแม้แต่การเมือง หึๆ

หยางโดนผลักออกไปเลยเกิดเป็นอาการร้อนในขึ้น มีอาการครบเหมือนเป๊ะกับ ทุกอย่างที่กล่าวมาไม่ว่าจะปากเป็นแผล สิวขึ้น ตาแห้ง จมูกแห้ง คอแห้ง ปากขม อาจจะมีอาการท้องผูกบ้างในบางราย แ่ต่คนกลุ่มนี้มักจะถามตัวเองว่า

“เราร้อนตรงไหนวะ”

“ขี้หนาว มือเท้าเย็นขนาดนี้ ร้อนในได้ไง?”

“ร้อนในน่าจะคึกคักเพราะไฟมันแรงนี่นา ทำไมถึงได้เหนื่อยๆเพลียๆไม่มีเรี่ยวแรงเลยล่ะ?”

กินอาหารฤทธิ์เย็นป้องกันตัวอยู่ตลอด ทำไมมันถึงไม่หายร้อนซะทีละ ทำไมยิ่งกินถึงยิ่งเป็นร้อนในง่ายขึ้น?”

มีคนพยักหน้าตามผมบ้างไหม? ผมนี่แหละเป็นคนนึงที่เป็นแบบนี้ แต่ก่อนผมร้อนในง่ายมากครับ กินมันฝรั่งทอดชิ้นสองชิ้นก็ปากเป็นแผล เจ็บคอซะแล้ว คนอื่นกินกันห้าหกซองไม่สะทกสะท้าน ตั้งแต่ เด็กโดนที่บ้านปลูกฝังว่า ปากเป็นแผล ท้องผูกก็ไปกินยาขมแก้ร้อนในสิ  กินซะจนร่างกายเสียสมดุลไม่รู้เรื่อง จนตอนนี้มาเรียนหมอจีนถึงได้ตระหนักและรีบแก้ไข

ที่ขี้หนาว ร่างกายไม่มีแรงก็เพราะว่าธาตุหยาง พลังงานไม่พอไงครับ ที่กินอาหารฤทธิ์เย็นแล้วยังไม่หาย หรือเป็นหนักกว่าเดิมก็เพราะว่าต้นเหตุของปัญหาคือธาตุหยินธาตุเย็นเต็มร่าง กายไปหมดแล้ว ยิ่งกินก็ยิ่งแย่สิครับ

มีอีกหนึ่งวิธีที่สามารถช่วยแยกได้ว่าเราร้อนในจริงหรือเปล่าก็คือ เรื่องขับถ่าย คนร้อนจริงอุจาระจะแข็งครับ แล้วก็มีความอยากถ่าย (ปวดขี้นั่นแหละ) ส่วนคนร้อนปลอมส่วนใหญ่จะท้องผูกเพราะไม่มีแรงเบ่ง ไม่ปวดอึ และถึงไม่อึก็ไม่รู้สึกอึดอัดอะไรมาก อุจาระจะมักไม่แข็ง หรือถึงแข็งก็แข็งเฉพาะตอนต้น พอถ่ายออกแล้วท่อนหลังๆจะเหลวๆแทน คนร้อนปลอมถ้าท้องไม่ผูก ก็อาจจะท้องเสียครับ ถ่ายเหลวตลอด อุจาระที่เหลวเป็นน้ำก็คือธาตุหยินที่เต็มร่างกายไปหมดนี่เอง อันหลังนี่เป็นประเภทเข้าขั้นรุนแรงแล้วครับ ควรรักษาด่วนครับ อย่างผู้ติดเชื้อ HIV ปากจะเป็นแผล (แผนปัจจุบันบอกว่าเพราะภูมิต้านทานต่ำ) แต่ส่วนใหญ่แล้วท้องเสียครับ อันนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของร้อนปลอมครับ หรือผู้สูงอายุบางท่านที่มีอาการขี้หนาว มือเท้าเย็น แต่ร้อนในและท้องผูกก็เป็นเคสนี้ด้วยเช่นกัน

การรักษาโรคร้อนปลอมนี้ไม่ควรไปกินอาหารที่ทำให้ร้อนในครับ ไม่ใช่ว่าให้ซัดเหล้าเบียร์แล้วจะหาย แม้อาหารพวกนี้จะมีฤทธิ์ร้อน แต่ก็แก้ปัญหาได้ไม่ตรงจุด หมอจีนจะให้การรักษาด้วยยาบำรุงธาตุหยาง เมื่อหยางแข็งแรงแล้วก็จะกลับไปงัดกับหยินต่อ ไม่โดนผลักออกไปอีก แล้วร้อนในจะหายไปเองครับ อย่างผมตอนนี้กินของทอดๆแล้วไม่ร้อนในง่ายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

อ่านจบมาถึงตรงนี้แล้วก็ลองวิเคราะห์ตัวเองดูครับ คราวหน้ามี “ร้อนใน” ก็อย่าหลับหูหลับตากินแต่ของที่มีฤทธิ์เย็นเพราะคิดว่าตัวเองร้อนใน ให้ถามตัวเองก่อนทุกครั้งว่า “ร้อนใน ร้อนไหน ร้อนจริงไหม” ครับ

related link:

ร้อนใน-แผลในปาก -=Byหมอแมว=-

Super Recommended ดื่มน้ำอย่างไรให้ถูกต้อง

ปรัชญาดอกไม้ริมทาง – นอน นอนเถิดนอน อยากให้เธอเข้านอน (วิธีชาร์จธาตุหยางด้วยการนอน)

ต้นฉบับจาก พี่ หมอเชน – หมอจีนกับอาการร้อนใน

Share

สมดุลแห่งชีวิต

“เต๋าที่อธิบายได้นั้น มิใช่เต๋าที่แท้จริง”
ขยายความได้ว่า เต๋าอธิบายไม่ได้ เต๋าไม่มีตัวตน เต๋ามีก่อนสิ่งอื่นๆ
มีก่อนจักรวาลจะเกิด เต๋าว่างเปล่า!

ถ้าเต๋าอธิบายได้ว่าเต๋าคืออะไร แปลว่าเต๋าจะถูกจำกัดความว่ามีแค่นั้น
เต๋า คือ ทุกสิ่ง แปลว่ามันคือทุกสิ่ง
เต๋า คือ จักรวาล แปลว่าเต๋าคือจักรวาล
เต๋า คือ ธรรมชาติ แปลว่าเต๋าคือธรรมชาติ

หากลองแทนคำว่าเต๋าเป็นคำว่าธรรมหรือนิพพาน ก็จะได้ประโยคเหมือนกัน

หากจะอธิบายให้เข้าใจแบบคนปัจจุบันที่ยังลุ่มหลงแบบเราๆ ท่านๆ
รักที่อธิบายได้นั้น มิใช่ รักที่แท้จริง
ขยายความได้ว่า รักอธิบายไม่ได้ รักมันไม่มีตัวตน

ถ้ารักอธิบายได้ว่ารักคืออะไร แปลว่ารักจะถูกจำกัดว่ามีแค่นั้น
รัก คือ ความคิดถึง แปลว่ามันคือความคิดถึง
รัก คือ ความ คิดถึงและห่วงใย แปลว่ามันคือคิดถึงและห่วงใย
รัก คือ รู้สึกดีต่อกัน แปลว่ามันคือความรู้สึกดีต่อกัน

ขยายความแบบนี้น่าจะเข้าใจกันได้ง่ายดีนะครับ 😀

ในโลกเราตอนนี้มองแต่ด้วยตาของบุคคลผู้รู้จักแต่วัตถุนิยม
เรารู้จักแต่วัตถุด้วย แล้วก็รู้จักแต่จะนิยมวัตถุด้วย
เป็นความรับรู้แบบหยาบๆ ที่ไม่เข้าถึงความลึกซึ้งของจิตวิญาณ
เหมือนเด็กอมมือที่รับรู้เท่าที่ตัวเองเห็นและฟัง

เพราะเราถูกสะสมเป็นความทรงจำในสมองผ่านการ ดู ฟัง ดม กิน สัมผัส
ว่าสิ่งนี้สวย ไพเราะ หอม อร่อย นุ่ม

เท่านี้ไม่พอ เรายังถูกผู้มีอำนาจเหนือกว่า กำหนดสิ่งต่างๆ ด้วยชื่อ
เช่น เสียงแบบนี้เรียกว่าเพลงโอเปร่า รสชาติแบบนี้เรียกว่าพิซซ่า หน้าตาแบบนี้เรียกว่าผู้หญิง

และเราก็ถูกกำหนดต่อในชั้นที่สามว่า เพลงแบบนี้เพราะ แบบนี้ไม่เพราะ
รสชาติแบบนี้อร่อย แบบนี้ไม่อร่อย หน้าตาแบบนี้สวย แบบนี้ไม่สวย

เราเจอการกำหนดสิ่งหนึ่งถึงสามชั้น!
ไม่แปลก ที่เราจะไม่สามารถแยกแยะได้ว่าที่แท้แล้วสิ่งนั้นคืออะไร

แ่ต่ไม่ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ล้วนแต่เป็นธรรมชาติทั้งสิ้น
หน้าต่าง ที่ทำจากโลหะ เกิดจากเหล็ก มาจากดิน
เตียง เกิดจากไม้ มาจากดิน มาจากน้ำ
เรา เกิดจากแม่ มาจากอสุจิพ่อ มาจากเลือด มาจากอาหาร จากแร่ธาติ จากน้ำ
พลาสติก เกิดจากการสังเคราะห์ เกิดจากน้ำมัน เกิดจากซากสัตว์ เกิดจากเนื้อหนัง เกิดจากแม่ มาจากอสุจิพ่อ มาจากเลือด มาจากอาหาร จากแร่ธาติ จากน้ำ

ผมนั่งจับต้องลูบคลำประตู กระเบื้อง แขนขา เหมือนคนบ้าอยู่พักใหญ่ๆ
ก็เพิ่งมองภาพได้ชัดเจนว่า ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ มาจากธรรมชาติ
เพียงแต่ถูกแปรเปลี่ยนรูปร่างแตกต่างกันออกไป
สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนไปอีกเรื่อยๆ เพราะมันต้องแปรเปลี่ยนไปตามความสมดุลของธรรมชาติ
จนค่อยๆ เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมอย่างสิ้นเชิง ซึ่งหลายการแปรเปลี่ยนเราก็กำหนดไว้ว่า มันเรียกว่าการดับไปของสิ่งนั้น

ผมไม่แปลกใจแล้วหละ ว่าทำไม มหาบุรุษคนหนึ่งเมื่อ 2600 ปีก่อน นั่งใต้ต้นไม้และสามารถรู้ทุกอย่างในจักรวาล และมหาบุรุษนั้นเรามอบชื่อให้แก่ท่าน เพื่อให้เข้าใจเหมือนกันทั้งโลกว่า “พระพุทธเจ้า”
พระพุทธเจ้า ไม่รู้หรอกว่าโลกเราอยู่บนกลุ่มดาว ที่คนปัจจุบันกำหนดเรียกมันว่า ทางช้างเผือก
พระพุทธเจ้า ไม่รู้หรอกว่า กลุ่มดาวที่เราอยู่ อยู่ในกลุ่มดาวกว้างใหญ่มหาศาล ที่คนปัจจุบันกำหนดเรียกว่า จักรวาล
ผมเชื่อว่า พระพุทธเจ้า พระองค์รู้จักสิ่งที่ไม่มีอันสิ้นสุดเกินจักรวาลออกไป ได้จากภายในตัวของท่านเอง

เพราะตัวของเราเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นต้นไม้ มดเป็นธณรมชาติ จักรวาลเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นจักรวาล
ว่าแต่ แล้วอะไรล่ะที่ใหญ่ไปกว่าจักรวาล ผมไม่สามารถบอกได้ ใครก็ไม่สามารถบอกได้ เพราะปัญญามนุษย์ยังสำรวจไม่พบ
จึงไม่ีใครตั้งชื่อ หรืออาจจะมีตั้งชื่อ แต่ผมไม่รู้

แต่ไม่ว่าจะชื่ออะไร สิ่งๆ นั้น ไม่มีตัวตน อธิบายไม่ได้ มีก่อนสิ่งอื่นๆ มีก่อนจักรวาลจะเกิด และว่างเปล่า!

ดังนั้นสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นจากจุดเดียวกัน แปรเปลี่ยนรูปร่างต่างกันไป
สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนไปอีกเรื่อยๆ เพราะมันต้องแปรเปลี่ยนไปตามความสมดุลของธรรมชาติ
จนค่อยๆ เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมอย่างสิ้นเชิง ซึ่งหลายการแปรเปลี่ยนเราก็กำหนดไว้ว่า มันเรียกว่าการดับไปของสิ่งนั้น

ถ้าสรุปแบบธรรมะผสมเต๋า ก่อนหน้าทุกอย่างว่างเปล่าแล้วจึงเกิดขึ้น ตั้งอยู่และแปรเปลี่ยนจนมันดับไปเป็นว่างเปล่าอีกครั้ง

ดังนั้น หากเข้าใจแนวทางการรักษาสมดุลของธรรมชาติ
ก็จะเข้าใจ แนวทางการรักษาสมดุลของร่างกาย
และจะเข้าใจแนวทางการรักษาสมดุลของสิ่งต่างๆ
เพราะธรรมชาติและร่างกายและทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นสิ่งเดียวกัน
คอยสนับสนุนหักล้างซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ความว่างเริ่มมีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นมาทดแทน

ถ้าเปรียบเทียบสัตว์ หมายังมีความสมดุลเป็นธรรมชาติมากกว่ามนุษย์เสียอีก..
เช่น รูปแบบ (pattern) ของหมา ถูกกำหนดมาว่า นอนเพราะเหนื่อย กินเพราะหิว ถึงฤดูจึงผสมพันธุ์ ดุร้ายเมื่อต้องป้องกันตัว

แต่มนุษย์มีความคิด ที่หลากหลายไม่จำกัดเหมือนหมา รูปแบบจึงซับซ้อนกว่า และหลดจากความเป็นสมดุลได้
เช่น อาจจะนอนเพราะเหนื่อย ขี้เกียจ ไม่มีอะไรทำฯลฯ กินเพราะหิว อยาก ลองฯลฯ ดุร้ายเพราะป้องกันตัว อันทพาล หาเรื่อง ไม่มีอะไรทำฯลฯ

แล้วกระนั้น ความซับซ้อนใน รูปแบบ (pattern ) ดังกล่าวของมนุษย์ ถูกกำหนดลงไปอีกมากมาย เช่น
ถูกศาสนากำหนดว่า ดีหรือชั่ว อันนี้ก็แล้วแต่คำสอนของศาสนานั้นๆ
ถูกกำหนดด้วยกฏหมายว่า ถูกหรือผิด อันนี้ก็แล้วแต่สังคมแวดล้อมของคนๆ นั้นอยู่
ถูกประเพณีกำหนด ถูกพ่อแม่กำหนด ถูกเพื่อนกำหนด ต่างๆนานาๆ

เลยทำให้ความเป็นมนุษย์มากมายหลากหลายรูปแบบ โชคร้ายก็สูญเสียความสมดุลอันเป็นธรรมชาติไป โชคดีก็ได้พบแนวทางค้นหาความเป็นสมดุลอันเป็นธรรมชาติ

เพียงเพราะเราถูกกำหนดมันจากภายนอก แล้วเราก็ไปหลงสิ่งภายนอก แถมยกย่องสิ่งภายนอกตัวเราอีกต่างหาก
โดยที่เราไม่ได้มองกลับเข้ามาหาตัวเองว่า ความสุขอยู่ที่เรา ความทุกข์อยู่ที่เรา ความใคร่อยู่ที่เรา ความอยาก สมดุลอยู่ที่เรา
เพียงแค่เราเฝ้ามองตัวเอง นั่งฟังสิ่งที่ตนเองเรียกร้องเงียบๆ โดยปราศจากความคิดไปเอง ความฟุ้งซ่าน แล้วผมเชื่อว่าเราจะรู้ได้ด้วยตนเองว่าความสมดุลอันเป็นธรรมชาติ ความเป็นธรรมะ ความเป็นเต๋า จักรวาล ชีวิต มันเป็นอย่างไร

สิ่งที่ผมเขียนมา ผมอยากจะบันทึกไว้เตือนตัวเอง และเป็นข้อคิดให้แก่ทุกๆ ท่าน ไม่ได้ต้องการเขียนให้สวยหรู แต่ต้องการบันทึกเพื่อให้ตัวเองกลับมาอ่านอีกครั้ง และรู้สึกเกิดปัญญาเข้าใจอีกครั้ง ในอนาคตที่อาจจะมีโอกาสหลงผิด และเสียสมดุล

หวังว่าทุกท่านจะเข้าใจนะครับ 😀

ขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่ท่านพุทธทาส ที่ทำให้เกิดปัญญาเพียงแค่อ่านได้ 47 หน้า ผ่านหนังสือ “สรรนิพนธ์ พุทธทาส ว่าด้วย เต๋า”

ปล1. สังเกตุว่า หลายๆ เนื้อหาเขียนใช้ข้อความซ้ำ เพราะมันคือสิ่งเดียวกัน
ปล2. สังเกตุว่า ตอนต้นและตอนจบ เหมือนกัน เพราะมันเป็นสิ่งเดียวกัน
ปล3. สังเกตุว่า แนวคิดเหมือนกันหมดแต่เขียนหลายแบบ เพราะมันเป็นสิ่งเดียวกัน
ปล4. แม้กระทั้ง ปล. 1 ถึง ปล.3 มันก็ยังเป็นสิ่งเดียวกัน ไม่สามารถแยกกันได้
ปล5. สรุปความเป็น บล็อกนี้ได้จาก บทความนี้

Share