ว.วชิรเมธี ณ มหาลัยของเรา

งืมๆ วันนี้ไปที่มหาลัย มีปฐมนิเทศน์เด็กใหม่
ได้ฟัง ว.วชิรเมธี เทศน์ช่วงเช้าไปพักหนึ่ง
เอ่อ นะ ท่านเทศน์ได้น่าสนใจมาก
ไม่ถึงกับเบื่อ และก็ไม่ถึงกับตลกๆมากมาย
ท่าน เน้นสาระ ปล่อยมุขบ้าง จับลมหายใจบ้างสลับกันไป
สรุป ประทับใจ เหมือนกับที่ประทับใจในหนังสือของท่าน
สาธุๆ

ช่วงบ่าย ที่จริงเด็กในทีมเราจะต้องขึ้นพูดเรื่อง ประกันคุณภาพ
แต่พอดีว่าทำกิจกรรมไร้สาระมากไปหน่อย เวลาไม่พอ
แล้วทาง มหาลัย ไปเชิญ คุณ ชินกร ไกรลาศ มาทำ เลยต้องเข้าสู่พิธีบายศรี
ทีมงานเราเลยไม่ได้ขึ้นไปพูดกับเด็กใหม่เลย เสียดาย แต่ก็เข้าใจ

กิจกรรมที่ว่าไร้สาระ
พี่ท่านจะเอาดนตรีที่ได้แชมป์ของประเทศมาโชว์ แต่โชว์ที เป็นสิบเพลงเลย
ฟังแรกๆ ก็โอเค หลังๆ ชักเบื่อ ชักเซ็ง
เด็กก็ไม่มีอารมร์ร่วมเล้ยยยย สนุกแม่ง กันอยู่ 2 คน บนเวที
ต่อจากนั้นก็เป็นพวกประธานนักเรียนมาแนะนำตัวๆๆๆ
พอแนะนำเสร็จ ก็มีกระเทยในมหาลัย มาเต้นคาบาเร่โชว์
อย่าให้กรูเจอเดี่ยวๆ นะเมิง โดดถีบสองตีนเลย
แต่ยอมรับ คนหลังๆ สวยจริง 555

นี่แหละ พอเราจะขึ้น ก็โดนล็อกบอกว่า คุณชินกร มารอแล้ว ต้องรีบทำพิธี

เอ้อ มันแปลกดี เมิงจะพุทธ หรือ พราหมณ์ วะ
เช้าพุทธ แต่ บ่ายพรามหมณ์
แถม พิธีพราหมณ์ ก็ดันเอา ศิลปินมาทำ
ไม่ใช่พราหมณ์จริงๆ มันจะศักดิ์สิทธิ์ไหมเนี่ย
หรือว่าคุณชินกร เป็นพรามหมณ์
(แต่คิดว่าไม่น่าใช่ เห็นพี่แก นุ่งโจงกระเบนน้ำเงินเรืองแสงมา ไม่ได้นุ่งขาวห่มขาว)

สรุป ไปเก้อ แต่สงสารเด็กที่จะพูด
มันอุส่า เตรียมตัวมานาน เครียดมากก่อนขึ้น
แต่แล้วก็ไม่ได้ขึ้น เหอๆ
แต่ก็ความผิดเราด้วย ที่ไม่ได้ไปโวย
ให้ทีมเราพูดหลังดนตรีจบ จะได้เสร็จๆ กันไป

ได้ไปอ่านตาม blog ของหลายๆ คน
และจากที่เจอเอง มักจะมีคำถามทำนองว่า
เกิดมาทำไม, เกิดมาเพื่ออะไร, มีชีวิตเพื่ออะไร
ถ้าใครกำลังประสบปัญหานี้อยู่
แนะนำให้ลองเข้าร้านหนังสือ เลือกหนังสือธรรมะสักเล่ม
ลองอ่านคร่าวๆ เลือกเล่มที่เราคิดว่าน่าจะอ่านสนุกและเข้าใจที่สุด
ผมว่ามันจะช่วยตอบโจทย์ของชีวิตได้ พอสมควร

หลังจากผมบวช และก็เจอเรื่องต่างๆ นานา
ผมก็เริ่มสนใจจะอ่านธรรมะขึ้นมาบ้าง ทั้งๆ ที่ไม่เคยคิดจะอยากอ่านเลย
(เมื่อก่อนก็พอศึกษาสมาธิบ้าง เพราะอยากมีอิทธิฤทธิ์ อิอิ)
คือ เมื่อเทียบกับอดีต และ ปัจจุบัน รู้สึกว่าความคิดมันเปลี่ยนไป
หลายอย่างที่ผมตอบปัญหาของตัวเองได้ (แต่บ่อยครั้งก็ห้ามไม่ให้มีอารมณ์ต่างๆ ได้)
หรือบางอย่างถ้าเรายังไม่เจอคำตอบ
แต่มันจะเจอสิ่งที่ชี้นำให้เราปฏิบัติไปเจอคำตอบในอนาคตได้

ตามหลักธรรมะท่านบอกว่า ไม่ควรเชื่ออะไรง่ายๆ
เราต้องลองทำเองแล้วให้เห็นกับตัวเอง
เชื่อเถอะ ถ้าคุณทำแล้วรู้สึกว่ามันดี
คุณจะกลายเป็นคนละคนไปเลย
เช่น ตาฟัก อาจจะแทรกธรรมะลงใน blog ลามกๆ สัก entry หนึ่งก็ได้ 555

ว่าแต่ไปเจอประโยคหนึ่ง ใน tosdn board ทิดโอเป็นคนโพส ซึ่งได้มาจาก manager
ความว่า

” ไก่ป่าต้องเดินไปไกล 10 ก้าว จึงได้จิกกินเมล็ดธัญพืชหนึ่งเมล็ด และต้องเดินไปไกลอีก 100 ก้าว จึงได้จิบกินน้ำหนึ่งอึก กระนั้น มันก็ไม่ต้องการอยู่ในกรงทอง แม้นจะมีอาหารน้ำรอท่าพร้อมให้กินดื่มดั่งราชา ด้วยมันไม่อาจเติมเต็มจิตวิญญาณ”

ตัดตอนแปลจาก The Complete Works of Chuang Tzu translated by Burton Watson บทที่ 3

ทำให้ผมได้นึกเปรียบเทียบช่วงที่ผมถ่ายรูปนก กับ ช่วงที่เห็นคนรักนกเขาเลี้ยงนก
คือ นกที่อยู่อิสระ ผมเห็นความน่ารัก ความมีชีวิต ของมันขณะที่ถ่าย
เห็นอริยาบทต่างๆนานา ย้ายเกาะกิ่งนั้นไปกิ่งนี้ จิกนั่นจิกนี่ แต่งขน หรือบินไปเกาะกลุ่มกัน

แต่สำหรับนกที่อยู่ในกรง ผมเห็นเจ้าของดูแลดีมาก มีอาหารมีน้ำ กรงก็ใหญ่พอบินได้บ้าง
(ตอนที่ผมเห็น พอดีผมไปขอหลบฝนในร้านขายของชำแห่งหนึ่ง)
เจ้าของเก็บนกของแกก่อนจะช่วยเมียเก็บร้านเสียอีก แสดงถึงความรักนกของแกมากมาย
แต่สิ่งที่ผมเห็นในนกเหล่านั้น ผมไม่เห็นความมีชีวิตของมันเลย

ผ มคิดว่า บางที การรักสัตว์ที่แท้จริง ก็คือการปล่อยให้สัตว์กลับไปตามธรรมชาติของมัน ยกเว้นมันจะไม่สามารถดูแลตัวเองได้ เช่น หาอาหารไม่เป็น หลบภัยไม่เป็น เลือกกินไม่เป็น ไม่รู้จักอันตราย พวกนี้คงจะต้องเลี้ยงต่อไปจนตายจากกันไปข้างหนึ่ง (ส่วนใหญ่เป็นสัตว์ที่เราเลี้ยงมาแต่เล็กๆ)

หรือสัตว์บางตัว พร้อมใจอยู่กับเรา หรือสัตว์บ้าน เช่น หมา แมว อันนี้ก็เลี้ยงได้อยู่ สรุป คือ สัตว์ที่รู้จักบุญคุณ รู้จักความรัก มันรักเรามันก็ต้องพร้อมที่จะอยู่กับเรา ไม่หนีเราไปออกป่าแน่

ตอนถ่ายนก ก็เห็นมันน่ารักดี อยากเลี้ยง แต่ก็ต้องปล่อยให้มันบินไป
รู้สึกว่าดูมันน่ารักแบบนี้ ดีกว่าที่จะดูมันน่ารักแบบไร้ชีวิตในกรง

จาก http://ifew.exteen.com/20060531/entry 

Share

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.