พระเจ้าหรือซาตาล

อ่า สืบเนื่องจาก blog เพื่อนผม ไอ้คุณโอ เรื่อง คุณอยากรู้มั๊ย มันทำให้ผมนึกถึง ความคิดๆ หนึ่งที่เคยวิ่งผ่านหัวของคนที่นับถือพุทธ

” ศาสนาที่มีพระเจ้า จะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่พระเจ้าสอนนั้นถูกต้องและดีงาม และพระเจ้าเหล่านั้นถ้าหากว่าเป็นซาตาลแปลงกายเป็นพระเจ้า เราจะรู้ได้อย่างไร และคำสอนเหล่านั้นทำให้มนุษย์มีชีวิตอยู่ที่ดีแล้วพ้นทุกข์อย่างนั้นหรือ”

นี่คือสิ่งที่เรา ซึ่งนับถือพุทธ ได้ถามกับตนเอง ว่ามันดีหรือป่าว รวมไปถึงได้อ่านหนังสือที่ อัลเบิร์ต ไอสไตน์ ได้พูดไว้ทำนองว่า  “ศาสนา ที่ดีที่สุดในโลก เท่าที่มนุษย์
ชาติพึงมี ตัวไอน์สไตนเองยกย่อง พระพุทธเจ้ามากว่าเป็นผู้รู้จริง…เป็นศาสนาของคนที่ต้องการรู้จริง
เป็นศาสนาเดียวในโลกที่สามารถจะไขปริศนาของความลับโลก
ได้จากพลังจิตอันบริสุทธิ์ของผู้ที่ปฏิบัติ”
และก็พูดไว้อีกว่า  “พวกเราจะต้องเปลี่ยนวิธีคิดอย่างมีเหตุผล ถ้ามนุษยชาติจะอยู่รอดต่อไปได้”

ท ำให้เรากลับมคิดว่า หากพระเจ้าของบางศาสนา บอกให้ทำสงครามเพื่อศาสนาของตน มันถูกต้องแล้วหรือ, หากพระเจ้าของบางศาสนาสอนให้คนรักกันมันถูกแล้วหรือ

ม นุษย์ทุกคนต้องการความสุข ความสุขที่ศาสนาที่มีพระเจ้าคือความสุขทางโลกของศาสนาพุทธ หากต้องการความสุขที่แท้จริงจะต้องเป็นความสุขเหนือโลก ขึ้นไปอีก

ยกต ัวอย่างกรณีที่ผมได้กล่าวไว้ ว่าหากทำสงครามเพื่อศาสนา มันอาจจะมองในแง่ที่ว่าจงรักภักดีต่อพระเจ้าและศาสนา มันก็เป้นส่วนดี แต่มันเบียนเบียนและทำลายชีวิตผู้อื่น โลกมันจะสงบได้อย่างไร ตอให้ทั้งโลกนับถือเหมือนกันหมด คนในศาสนาเดียวกันแท้ๆ ยังฆ่ากันเลย อันนี้ผมมองว่าเป็นความเชื่อที่รุนแรงไป ไม่น่าพูดถึงต่อ

และบางพระเจ ้าสอนให้คนรักกัน ข้อนี้ไม่แรง ข้อนี้เป็นสุข เป็นสุขทางโลก ทำไมผมถึงบอกว่าเป็นสุขทางโลก ให้ลองไปถามคนมีความรักสิครับ คิดถึงเขาเป็นทุกข์ไหมว่าเขาจะเป็นอย่างไร เป็นห่วงเขาเป็นทุกข์ไหมว่าเขาจะอยู่อย่างไร รักเขาเป็นทุกข์ไหมว่าเขาจะมีคนอื่นไหม ได้อยู่กับเขาเป็นทุกข์ไหมว่าสักวันเขาจะพรากจากเราไป ทุกสิ่งที่พูดมาถ้าเรามองดูดีๆ มันเป็นอวิชชาบังตา ที่เราหลงเชื่อว่าความรักนั้นเป็นของดี มีความสุข แต่ถ้าคิดให้ดี มันมีความทุกข์แฝงอยู่ มีความยึดติดแฝงอยู่ (แม้แต่ผมเอง ยังหลงยึด)

แ ต่สำหรับศาสนาพุทธ ถึงแม้ว่าจะไม่เคยสอนให้คนรักกัน แต่ศาสนาพุทธสอนให้เราอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข (หรือพูดอีกนัยหนึ่งให้เขาใจก็อาจจะเรียกว่ารัก แต่เป็นรักที่หวังดี รักที่อยู่อย่างมีสุขที่แท้ รักที่ไม่ยึดติด รักที่เป็นกลาง) ซึ่งอาศัย พรหมวิหาร 4 มาอธิบายได้ดังนี้

ไม่เบียดเบียนผู้อื่น

มี เมตตา ( การปรารถนาดีรักใคร่ต่อสัตว์ทั้งหลาย
เมตตาคือความไม่โกรธ
  ความรักใคร่ชื่นชมนี้ มี 2 อย่าง คือ (1) เมตตาอโทสะ
(2) ตัณหาเปมะ ใน ๒ อย่างนี้ เมตตาอโทสะ เป็นความ
รักใคร่ชื่นชมปรารถนาดี ไม่มีการยึดถือว่าเป็น บิดา มารดา บุตร
ธิดา ภรรยา สามี ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง แต่อย่างใด ถึงจะจากไป
อยู่ที่อื่นก็ไม่เดือดร้อน ส่วนตัณหาเปมะนั้น เป็นความรักใคร่ชื่นชม
ด้วยการยึดถือว่าเป็น บิดา มารดา บุตร ธิดา ภรรยา สามี
ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงและแยกจากกันไม่ได้ ดังนั้นความรักใคร่ชื่นชม
ชนิดที่เป็นชนิดตัณหาเปมะนี้ จึงได้ชื่อว่า เป็นเมตตาเทียม เพราะยัง
มีโลภะอยู่ด้วย
)

มี กรุณา ( เมื่อเห็นสัตว์ทั้งหลายได้รับ
ความลำบาก จิตใจของสัปบุรุษ (สัปบุรุษ – สัตบุรุษ คือ คนสงบ
คนดี คนมีศีลธรรม คนที่ประกอบด้วยสัปปุริสธรรม – พจนานุกรม
พุทธศาสน์) ก็เกิดความหวั่นไหว นิ่งดูอยู่ไม่ได้ หรืออีกนัยหนึ่ง
หมายความว่า ย่อมช่วยผู้ที่ได้รับความลำบากนั้นให้ได้รับความสุข
ดังแสดงวจนัตถะว่า
ปรทุกฺเข สติ สาธูนํ หทยกมฺปนํ กโรตีตี = กรุณา
ธรรมชาติใดย่อมทำให้จิตใจของสัปบุรุษทั้งหลาย หวั่นไหว
อยู่นิ่งไม่ได้ เมื่อผู้อื่นได้รับความลำบาก ฉะนั้น ธรรมชาตินั้น
ชื่อว่า กรุณา
กิณาติ ปรทุกฺขํ หึสติ วินาเสตีติ = กรุณา
ธรรมชาติใดย่อมเบียดเบียนทำลายความลำบากของผู้อื่นเสีย
ฉะนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อว่า กรุณา
)

มี มุทิตา ( ความรื่นเริงบันเทิงใจ
ในความสุขความสมบูรณ์ของผู้อื่น  มี ๒ อย่าง คือ มุทิตาแท้และ
มุทิตาเทียม ใน ๒ อย่างนี้ มุทิตาแท้ แม้ว่าจะมีความรื่นเริง
บันเทิงใจต่อสัตว์ที่มีสุขอยู่ หรือจะได้รับความสุขต่อไป
ข้างหน้าก็ดี จิตใจหาได้มีการยึดถือหรืออยากโอ้อวดต่อผู้อื่น
แต่อย่างใดไม่ มีแต่ความเบิกบานแจ่มใสอันเป็นตัวมหากุศล … 

สำหรับมุทิตาเทียมนั้น แม้จะมีความยินดีปรีดาก็จริง
แต่ก็มีการยึดถืออยากได้ดีมีหน้า ซ่อนอยู่เบื้องหลัง
ส่วนมากย่อมเกิดขึ้นเมื่อได้เห็นบิดา มารดา ญาติพี่น้อง
บุตร ธิดา มิตรสหายของตนมียศ มีทรัพย์ อำนาจ หรือ
ได้ทราบว่าจะได้รับยศอำนาจในวันหน้า โดยความยึดถือ
ว่าผู้นั้นเป็นบิดา มารดา ฯลฯ ของตน
)

 มี อุเบกขา ( วามวางเฉยต่อสัตว์ทั้งหลาย
โดยมีจิตใจที่ปราศจากอาการทั้ง ๓ กล่าวคือ ไม่น้อมไปในความ
ปรารถนาดี ในการที่จะบำบัดทุกข์ ในการชื่นชมยินดี ในความสุข
ของสัตว์แต่อย่างใดทั้งสิ้น … พิจารณาในสัตว์ทั้งหลายพอประมาณ
ด้วยการที่ไม่รักไม่ชัง คือ สละความวุ่นวายที่เนื่องด้วยเมตตา กรุณา
มุทิตา … และมีสภาพเข้าถึงความเป็นกลาง
 

การวางเฉยต่อสัตว์ทั้งหลายนั้น มีอยู่ด้วยกัน ๒ อย่าง คือ
เป็นไปด้วยอำนาจแห่งตัตตรมัชฌัตตตา (ความเป็นกลางในอารมณ์
นั้นๆ / ภาวะที่จิตและเจตสิกตั้งอยู่ในความเป็นกลาง) …
นี้เป็นอุเบกขาแท้

 ส่วนที่เป็นไปด้วยอำนาจโมหะนั้น เมื่อได้ประสบกับสิ่งที่น่ารัก
ก็ไม่รู้จักรัก น่าขวนขวายอยากได้ก็ไม่มีการขวนขวายอยากได้
เฉยๆ ไป น่าเคารพเลื่อมใสก็ไม่รู้จักทำการเคารพเลื่อมใส
น่ากลัวน่าเกลียดก็ไม่รู้จักกลัวจักเกลียด ควรสนับสนุนส่งเสริม
ก็ไม่รู้จักสนับสนุนส่งเสริม ควรแก้ไขปรับปรุงให้ดีให้สมบูรณ์
ในการงานทั้งปวงก็นิ่งเฉยเสีย นี้เป็นอุเบกขาเทียม
)

ที่มาของคำแปล http://board.dserver.org/e/easydharma/00000024.html

ซ ึ่งถ้าใครยังไม่เข้าใจอวิชชาบังตา ก็ลองดูคาวมหมายของ พรหมวิหาร 4 แต่ละตัวก็ได้ เช่น คำว่า อุเบกขา ถ้าเรารู้อย่างคร่าวๆ เราจะรู้ว่ามันคือการวางตัวเป้นกลาง ไม่ถือดีถือร้ายใดๆ นี่แหละยังเรียกว่าบังตา แต่สิ่งที่เรียกว่าวิชชา คือเราจะรู้ลึกซึ้งไปกว่านี้ว่า “มันมีแยกเป็น 2 แบบนะ คือการวางเฉยแบบอารมณ์และจิตเป็นกลาง กับการวางเฉยแบบใครจะทำอะไรก็ปล่อยมัน ไม่สนใจ”

คราวนี้กลับมาหัวข้อข องเรา ว่า พระเจ้าหรือซาตาล …. สิ่งที่ได้กล่าวไปแล้วคือบางศาสนาสอนให้สุขทางโลก คือให้อยู่ตั้งแต่เกิดจนตาย ถึงแม้จะสุขแค่ไหนก็ยังมีทุกข์แฝงอยู่เป็นเรื่อยๆ เป็นศาสนาที่ยึดติดกับพระเจ้า พระเจ้าไม่ชอบสิ่งใด ต้องทำสิ่งนั้นให้ มันเป็นทางโลก

แต่ศาสนาที่เหนือโลก (หรือที่เรียกว่าโลกุตระ) มันอยู่เหนือการยึดติดกับพระเจ้า อยู่เหนือการยึดติดกับความทุกข์ หรือแม้แต่ความสุข ( หลายคนชาวพุทธมักเชื่อว่า ศาสนาพุทธที่สุดคือการพ้นทุกข์และมีสุข แต่ที่จริงแล้วสูงสุดคือการ พ้นจากทุกข์และพ้นจากสุข อยู่ในสภาพเป็นกลาง)

ถ ึงแม้ว่าการปฏิบัติอย่าที่กล่าวมาทางพุทธ จะเป็นเรื่องยาก เป็นการปฏิบัติชั้นพระอริยะ แต่สิ่งที่พุทธสอนให้ปุถุชนใช้ในทางโลกคือ ศีล 5 ก็เพียงพอแล้วสำหรับทางโลก แล้วมันจะเป้นรากฐานไปสู่ความเป็นพระอริยะ และพ้นทุกข์ถึงพระนิพพานต่อไป

** ปล. ความคิดเห็นส่วนตัวเด้อ ว่าศาสนาแตกต่างอย่างไร แต่มิได้จะว่าพระเจ้าของศาสนาใดๆ ว่าไม่ดี เพียงแต่อยากเสนองแง่มุมของคนที่ไม่มีพระเจ้าให้แก่คนที่มีพระเจ้าได้ทราบว่ าพวกเราคิดอย่างไร

จาก http://ifew.exteen.com/20050922/entry 

Share

3 thoughts on “พระเจ้าหรือซาตาล

  1. Sladin

    อัลเบิร์ต ไอสไตน์ พวกยิวจอมโกหก เผ่าพันธุ์ที่น่ารังเกลียด โกหก บิดเบือนจากความเป็นจริง อิสลามต่างหาก คือความเป็นจริง ในพระคัมภีร์ของเรา ได้บอกไว้ ศาสนาอิสลาม ถือกำเนิดมาพร้อมๆกับโลกใบนี้ และมนุษย์ มีศาสนาไดบ้างที่ยิ่งใหญ่ และมีประวัติความเป็นมายาวนานมากกว่าอิสลาม ไม่มีแน่นอน อิสลาม หมายถึงสันติ ผู้คนต่างศาสนาต่างมองอุสลามว่ารุนแรง ทารุน ปล่าว อิสลามไม่ใช่อย่างนั้น ทุกๆอย่างเกิดขึ้นจาก ความมักง่ายของศาสนาบางศาสนา ที่ยั่วยุ ให้ความสงบของอิสลาม กลายเป็นความโกรธแค้น ชิงชัง พวกที่เรียกตัวเองว่า คริสเตียน พวกที่เข้ามาเอาผลประโยชน์ของดินแดนอิสลาม โดยใช้สงครามมาเป็นข้ออ้าง ยั่วยุให้อิสลามกลายเป็นผู้ผิด ทั้งที่จริงพวก คริสเตียนไม่ใช่หรอที่ผิด อีกไม่นานหรอก สงครามไม่มีวันจบสิ้น มันเริ่มตั้งแต่ครั้งแรก สงครามครูเสต แล้วต่อไปๆ เรื่อยๆ จนกว่าจะถึงวันสิ้นโลก แล้วทุกคนก็จะรู้ว่า อิสลาม ไม่ได้โกหก

    Reply
  2. visan

    จากข้อความแรกที่โพสไว้ขออธิบายเป็นข้อดังนี้ครับ
    1.ผมไม่ได้นับถือศาสนาที่มีพระเจ้า
    2.เราจะไม่วิพากวิจารย์ศาสนาอื่นโดยใช้หลักการของศาสนาเราไปเปรียบเทียบ เพราะจุดมุ่งหมายในการปฏิบัติของแต่ละศาสนาไม่เหมือนกัน
    3.การที่เราคิดกันแบบที่คุณแสดงความเห็นเป็นเหตุสำคัญให้เกิดสงครามศาสนา
    4.คุณยังไม่เข้าใจหลักศาสนาสากล
    5.คุณนับถือศาสนาพุทธแต่ยังยึดติดในตัวศาสนา(ยังหลุดพ้นไม่ได้)
    6.ศาสนาใดดีกว่ากันนั้นไม่ใช่หน้าที่ของมนุษย์ที่จะมาตัดสิน
    7.ทุกศาสนามีคุณค่าอย่างสูงและมีจุดเป้าหมายอันเดียวกัน8.กรณีของศาสนาที่มีพระเจ้านั้นสอนให้รักคนอื่น ไม่ใช่สอนให้รักกันแบบหนุ่มสาว แต่สอนให้รักด้วยใจบริสุทธิ์ไม่หวังสิ่งตอบแทน ก็เหมือนกับการเมตตาผู้อื่นในศาสนาพุทธนั่นเอง
    8. จุดมุ่งหมายของศาสนาคริสต์-อิสลามคือให้คนรักกัน จุดมุ่งหมายของศาสนาพุทธคือการที่คนๆนึงได้หลุดพ้นจากความสุขความทุกข์ด้วยจิตที่หลุดพ้น หลักคำสอนจึงต่างกัน จงเลือกปฏิบัติในสิ่งที่ตรงกับความคิดของท่าน แต่อย่าดูถูกจุดมุ่งหมายของศาสนาอื่น
    9.ความแตกต่างคือศิลปะบนโลก ทำให้โลกน่าอยู่และเติมเต็มซึ่งกันและกัน
    10.ขอให้ปฏิบัติแต่สิ่งที่ดีงามเถิด (อย่าแก่เหตุ แก่ผลมากเกินไปแล้วท่านจะมีความสุข)
    11.ผมขอเฉลยว่าผมเป็นพุทธศาสนิกชน

    Reply
  3. Zatanavatra

    ผมว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดี ไม่มีหรอกครับที่จะชี้นำให้ไปในทางที่ชั่วร้าย เรื่องนี้ผมว่าทุกคนเข้าใจดี แต่ในสิ่งที่คุณคนที่อยู่ข้างบนสุดกล่าวมาขั้นต้น ผมว่าคุณนั้นแหละที่จะทำให้เกิดสงครามศาสนาขึ้น เพราะ คุณหยิบยกศาสนาพุทธเป็นหลักเกินไปแล้วที่สำคัญคุณเอาศาสนาอืนมาต่อว่า ผมเป็นพุทธ แล้วนับถือมาตลอดชีวิต แต่ผมไม่ชอบให้ไครมาว่ากล่าวเรื่องศาสนาอืนใส่กัน เพราะสิ่งที่ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าหรื่อองพระพุทธเจ้าเราได้ทรงตรัสไว้นั้นล้วนเป็นสิ่งที่ดีงาม เรื่องความรัก คุณว่าเป็นทุกเพราะอะไรผมว่าทุกคนยอมทุกได้นั้นแต่คนรักกันยอมดีกว่าเป็นศัตร์กันบ้างทีพระเจ้าอาจไม่เจอะจงว่าต้องรักกันแบบแฟน แต่อาจจะรักกันเหมือนเพื่อนรวมโลก คำพูดของคุณผมรับไม่ได้จิงๆ ในฐานชาวพุทธและนับถือพระพุทธเจ้า ผมขอให้คุณหยุดเรื่องว่าร้ายศาสนาอืนแล้วยกย่องศาสนาตัวเองเพราะผมว่าศาสดาพวกคุณคงไม่ยินดีในสิ่งที่พวกคุณทำเท่าไหร่หรอก ผมทนอ่านข้อความของคุณแล้วแทบทนอ่านต่อไม่ได้ จนกระทั้งมีข้อความที่สอง คุณเห็นไมว่ามันเกินอะไรขึ้น มีผู้ที่รักศาสนาอิสลามออกมาปกป้อง ถ้าคุณได้ออกไปพูดในที่สาธรณชนนะ ผมกล้าพูดได้เต็มปากเลยคุณโดนทืบตายแน่ ผมไม่ชอบขอความคุณเลย จากใจชาวพุทธ

    Reply

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.