Category Archives: สุขภาพ

อายุยืน 100 ปี ตามแบบฉบับเคล็ดลับชาวญี่ปุ่น

หยิบเครื่องเทศ สมุนไพรมาใส่อาหารบำรุงให้อายุยืน 100 ปี (สุขกายสบายใจ)
เรื่อง : สุธารัชฎ์ รัตนารามิก

การจะมีชีวิตอยู่ให้ถึงอายุ 100 ปีคงไม่ใช่เรื่องยาก สิ่งสำคัญต้องมีสุขภาพกายและใจที่แข็งแรง หากยังไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นดูแลตัวเองอย่างไร ลองดูพฤติกรรมของชาวโอกินาว่าในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มคนที่มีอายุยืนที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลก พวกเขามีเคล็ดลับอยู่ที่การเพิ่มเครื่องเทศและสมุนไพรในอาหาร และให้ความสำคัญกับการออกกำลังทั้งกายและใจ ซึ่งวิธีเหล่านี้เราก็สามารถปฏิบัติตามได้ครบทุกขั้นตอน ไม่เพียงเท่านี้ยังเสริมด้วยเรื่องของเกร็ดสุขภาพทั้งกายใจ ที่ทำง่ายในทุกวันอีกด้วย

กินดี อยู่ดี มีความสุข…ตามแบบฉบับชาวโอกินาว่า

ชาวโอกินาว่ามีชีวิตประจำวันที่เหมือนกับชาวชนบททั่วไปคือ เน้นกินผักเป็นหลัก กินเนื้อเป็นรอง แทบทุกเมนูต้องใส่เครื่องเทศ และสมุนไพร ในเรื่องสุขภาพใจ พวกเขาขึ้นชื่อเรื่องคิดบวก เพราะเชื่อว่าการมีทัศนคติที่ดีเป็นปัจจัยสำคัญในการมีอายุยืน ที่สำคัญคือ พวกเขาเก่งมวยไท้เก็ก ซึ่งเป็นการออกกำลังกายแบบเน้นเรื่องการฝึกลมหายใจและทำสมาธิ ด้วยวิธีการเหล่านี้เองที่ทำให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดี จนสามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึง 100 ปี

8 อาหารสำคัญของชาวโอกินาว่า

1.มะระ นิยมนำมาปรุงอาหารขณะที่ยังไม่สุกงอมดี โดยการนำมาผัดกับเต้าหู้ ใส่ไข่ แล้วผัดด้วยน้ำมันคาโนลา หรือฝานบาง ๆ ใส่ในแซนด์วิช หรือใช้เป็นผักเคียงในเมนูซูซิ

2.แครอท ชาวโอกินาว่าไม่นิยมทานหัวแครอทเหมือนบ้านเรา แต่จะใช้ใบสีเขียวของแครอทมาประกอบอาหารโดยการนำใบมาสับละเอียด ตอกไข่ใส่ แล้วผัดกับข้าวกล้องหรือนำไปเป็นผักโรยในซุป

3.Hechima หรือบวบญี่ปุ่น นิยมนำไปเป็นผักเครื่องเคียง กินกับเต้าหู้ในซุปมีโสะ

4.สมุนไพรเผ็ดร้อน ซึ่งเชื่อว่ามีคุณสมบัติรักษาโรค เช่น ขมิ้น ช่วยป้องกันการติดเชื้อ พริกช่วยบำรุงหัวใจ เมล็ดยี่หร่าช่วยอาหารโดยนำมาปรุงเป็นส่วนประกอบในเมนูบะหมี่สูตรน้ำซุป หรือใส่ลงในมนูผัดผัก

5.สาหร่าย นิยมนำมาใช้ปรุงอาหารมากกว่าผักชนิดอื่นเพราะหาง่าย เช่น คอมบุ โนริ ฮิจิกิ วากาเมะ เป็นต้น โดยการนำไปแปรรูปเป็นสาหร่ายแผ่นทอดกรอบ อบแห้ง ใส่ในซุป หรือนำไปห่อข้าว

6.มันเทศ นิยมนำไปทำเป็นมันทอด โดยหั่นเป็นชิ้นหนา 1 นิ้ว นำไปทอดด้วยน้ำมันมะกอก หรือ หรือใช้มันเทศทั้งหัวไปเผาสุมในกองใบไม้แห้ง ไว้กินเล่นในฤดูหนาว

7.โฮลเกรน ชาวโอกินาว่าเชื่อว่าการบริโภคธัญพืช เช่น ข้าวบาเล่ย์ ข้าวฟ่าง ข้าวกล้อง สามารถเติมพลังให้กับจิตวิญญาณได้ จึงนิยมนำไปหุงผสมชนิดกันเพื่อทำเป็นข้าวพิลาฟ (Pilaf) หรือข้าวที่หุงรวมกับสมุนไพร ธัญพืช หรือเครื่องเทศ

8.ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้ มิโสะ และถั่วแระนิยมนำถั่วแระผัดในข้าว หรือใช้มิโสะเป็นซูป และอีกเมนูนิยมของชาวโอกินาว่าก็คือ การใช้เต้าหู้ทำชีสเค้ก

อายุยืนด้วย 5 สมุนไพรหาง่ายในครัวบ้านเรา

1.กระเทียม ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ตามผลวิจัยของ National Health and Medical Research Council เผยว่า การบริโภคกระเทียม แค่ 1 หัวต่อวันช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ เพราะสารประกอบไฮโดรเจนซัลไฟด์ (Hydrogen sulphide) ช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนได้เป็นปกติ

2.ขมิ้น บำรุงข้อต่อ ด้วยสารเคอร์คูมิน (Curcumin) ที่มีคุณสมบัติต้านแอมีลอยด์ (amyloid) หรือคราบพลัคโปรตีน ไม่ให้ตกตะกอนในเซลล์เนื้อเยื่อจนเรื้อรังอยู่ตามอวัยวะต่าง ๆ เช่น ข้อต่อ สมอง ดังนั้นการกินขมิ้นวันละ 1 เหง้า ก็สามารถช่วยให้ห่างไกลจากโรคอัลไซเมอร์ และโรคไขข้ออักเสบได้แล้ว

3.ใบเสจ บำรุงสมอง ด้วยสารอะซีติลโคลีน (Acetylcholine) ที่มีผลต่อการควบคุมสมองในส่วนการรับรู้ ซึ่งทำงานสัมพันธ์โดยตงกับระบบประสาทพาราซิมพาเทติก (parasympathetic nerve) หรือระบบประสาทอัตโนมัติ หากกินเสจเป็นประจำทุกวันจะช่วยให้สมองหลั่งสารอซีติลโคลีนเป็นปกติ สมองจึงสามารถจำอะไรได้แม่นยำขึ้น อาจตวงใบเสจ 1 ¼ ออนซ์ แช่ลงในน้ำร้อน 1 ถ้วยตวง ใช้จิบเป็นชาดื่มตลอดวัน

4.ใบไทม์ (Thyme) บำรุงไต เป็นสมุนไพรรสชาติเย็นคล้ายใบมินท์ มีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาดไต และระบบทางเดินปัสสาวะ นิยมนำไปใช้ชงเป็นชาใบไทม์ โดยตวงใบไทม์ ½ ออนซ์ (หรือ 1 ช้อนโต๊ะ) ต้มในน้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง ทิ้งให้ตกตะกอนประมาณ 15 นาที อาจเพิ่มความหวานโดยการเติมน้ำผึ้ง ใช้จิบได้ตลอดวัน ควรดื่มอย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ถ้วย

5.ผักชีสด ขับโลหะหนัก ในหนังสือที่มีชื่อว่า Transdermal Magnesium Therapy ที่เขียนโดย Mark Sircus เขาแนะนำว่า กินใบผักชีสดเพียง 1 กำมือเป็นประจำทุกวัน ก็ช่วยให้ร่างกายกระตุ้นการขับปรอทออกจากเซลล์สมองและระบบประสาทส่วนกลางได้แล้ว เพราะถ้าร่างกายมีปรอทสะสมอยู่ในปริมาณมากจะส่งผลให้ปอดอักเสบ หายใจไม่สะดวก และร้ายแรงจนถึงขั้นสูญเสียการควบคุมการทรงตัว และการเคลื่อนไหวของแขน ขา ระบบประสาทรับความรู้สึกถูกทำลาย เช่น การได้ยินไม่ชัด มองไม่ชัด พูดไม่ชัด เป็นต้น

6 วิธีสุขใจให้อายุยืน

1.หัวเราะ นักหทัยวิทยาในสหรัฐเผยว่า การหัวเราะ 100-200 ครั้ง เทียบได้กับการเดินเร็ว 10 นาที และเป็นวิธีธรรมชาติช่วยกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนในร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรคมากขึ้น

2.ชีวิตคู่ ต้องจัดการให้ลงตัว ผลการวิจัยของ Health Psychology Journal ในสหรัฐเผยว่า คู่ชายหญิงที่หย่าร้างกัน มีอายุขัยสั้นกว่ากำหนด เพราะชีวิตตึงเครียดด้วยปัญหาที่ต้องคิด ในทางกลับกัน คู่ชายหญิงที่มีกิจกรรมบนเตียงบ่อยครั้งมีอายุยืนกว่า เพราะการมีเซ็กส์อย่างสม่ำเสมอช่วยคืนอายุให้ดูเด็กลงถึง 7 ปี

3.ธรรมะ ธรรมโมเข้าไว้ ผลการวิจัยของ International Journal for Psychiatry and Medicine เผยว่าความเครียด และอารมณ์ขุ่นมัวคือ ต้นเหตุให้เจ็บป่วย และร่างกายสามารถขจัดมันออกไปได้ด้วยพลังของจิตใจที่สงบ ซึ่งเราสามารถฝึกจิตให้แข็งแรงได้ด้วย การเข้าโบสถ์ เข้าวัดฟังธรรม และการทำบุญ

4.เข้าสมาคม การเข้าร่วมสมาคมกีฬา หรือการเข้าสมาคมในองค์กรช่วยเหลือต่าง ๆ นับเป็นสิ่งที่ดีต่อผู้สูงอายุ ผลการวิจัยของ Harvard University เผยว่า วิธีเหล่านี้จะทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกตัวเองมีค่า และรู้สึกสนุกกับการใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายมากขึ้น

5.อยู่บ้าน ไม่ต้องพูดถึง “งาน” ผลการวิจัยของ Johns Hopkins University เผยว่า ผู้ที่ชอบเก็บงานกลับไปทำที่บ้าน เสี่ยงเป็นโรคหัวใจได้ง่ายกว่า 20 เท่าของผู้ที่ไม่เก็บงานกลับไปทำที่บ้าน เนื่องจากเป็นการสะสมความเครียดให้ตัวเองโดยไม่รู้ตัว ภูมิคุ้มกันในร่างกายจึงลดต่ำลงเรื่อย ๆ ผลที่ได้คือ แก่ก่อนวัยอันควร

6.เลี้ยงสัตว์ ผลการวิจัยของ University of Cambridge เผยว่า สัตว์เลี้ยงทำให้คนมองโลกในแง่ดี และมีสุขภาพจิตที่ดีด้วย คอรบครัวที่เลี้ยงสัตว์ไม่ว่าจะเป็นสุนัข หรือแมวจะมีความเครียดน้อยกว่าครอบครัวที่ไม่เลี้ยงสัตว์อะไรเลย อีกทั้งยังมีอัตราการเจ็บป่วยจนต้องไปพบแพทย์น้อยครั้งกว่าด้วย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก สุขกายสบายใจ
ที่มา http://health.kapook.com/view38185.html

Share

ออยล์พูลลิ่ง (Oil Pulling Therapy) รักษาโรคผ่านช่องปาก

มีเพื่อนแนะนำให้ทำครับ เลยลองไปหาวิธีมา เจอน่าสนใจคือบทความของหมอแดง น่าสนใจมาก ขอยกวิธีทำบางส่วนมาให้อ่านกันครับ

ออยล์พูลลิ่ง (Oil Pulling Therapy) เป็นวิธีบำบัดของอินเดียที่มีมาเป็นเวลาช้านานแล้ว โดยการอมน้ำมันไว้และเคลื่อนน้ำมันไปให้ทั่วช่องปาก ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที จากนั้นจึงบ้วนทิ้งไป ออยล์พูลลิ่งเป็นที่ฮือฮาเมื่อ Dr. F. Karach, M.D., ได้เสนอรายงานต่อที่ประชุมสัมนาบัณฑิตทางด้านวิทยาศาสตร์ในประเทศรัสเซียเมื่อปี พ.ศ. 2534-2535 การประชุมมีผู้เชี่ยวชาญในเรื่องมะเร็ง และแบคทีเรียซึ่ง Dr.Karach ได้อธิบายถึงการบำบัดรักษาโรคที่ยอดเยี่ยมไม่เหมือนใคร ด้วยวิธีง่ายๆ โดยใช้การอม น้ำมันสกัดเย็น หรือ หีบเย็น (สกัดน้ำมันออกมาโดยใช้ความร้อนต่ำ หรือไม่ใช้ความร้อนเลย)

ผลลัพธ์ของการบำบัดด้วยวิธีนี้ ทำให้ผู้คนตะลึง ประหลาดใจ เต็มไปด้วยความสงสัย ในรายงานของเขาเป็นอันมาก อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้มีการอธิบาย ซักถามกันถึงการรักษาด้วยน้ำมันสกัดเย็น มีการทดสอบ ทดลองใช้ ทดลองทำพิสูจน์หาความสมเหตุสมผลที่เกิดขึ้น ต่างก็ยิ่งประหลาดใจถึงผลที่ได้รับจากการรักษาอย่างสมบูรณ์ อีกทั้งยังไม่มีอันตรายใดๆด้วย เป็นการรักษาทางด้านชีววิทยาโดยแท้ ด้วยวิธีการง่ายๆ ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยรักษาโรคได้มากมายหลายโรค ในบางกรณี บางรายที่ไม่ต้องการรักษาโรคด้วยการผ่าตัดหรือการกินยา ก็ได้ใช้วิธีการนี้บำบัด ซึ่งก็เป็นผล อีกทั้งไม่เกิดผลข้างเคียงเหมือนการใช้ยาเคมี

กระบวนการบำบัด และผลที่ได้รับที่น่าตื่นเต้นตามทฤษฎีนี้ กลับแสนง่าย โดยเริ่มต้นที่ใส่น้ำมันสกัดเย็นเข้าไปในปาก (น้ำมันทานตะวัน น้ำมันงา หรือน้ำมันสกัดเย็นอื่น ไม่จำเป็นต้องกลั่นโดยวิธีธรรมชาติเสมอไป น้ำมันทานตะวันที่ซื้อจากซุปเปอร์มาเก็ตก็พอใช้ได้แล้ว)

กระบวนการบำบัดจะบรรลุผลสำเร็จด้วยระบบบำบัดของผู้นั้นเอง ในกรณีนี้อาจจะไปบำบัดเซลล์ เนื้อเยื่อ อวัยวะต่างๆ ในเวลาเดียวกัน ร่างกายเองก็จะขับสารพิษออกทิ้งไม่ให้รบกวนระบบต่างๆ ของร่างกาย
Dr.Karach กล่าวว่า คนเราส่วนใหญ่จะมีชีวิตอยู่แค่ครึ่งหนึ่งของชีวิตที่น่าจะเป็น ความจริงแล้วถ้าสุขภาพที่ดีจะมีอายุได้ถึง 140- 150 ปี

วิธีการทำ “Oil Pulling”
– เช้าตื่นนอนขึ้นมา ช่วงท้องว่าง ก่อนรับบประทานอาหารเช้า เอาน้ำมันประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ใส่เข้าปาก อย่าได้กลืนลงคอไปนะครับ แล้วทำให้น้ำมันเคลื่อนไหวไปมาอยู่ในปาก (Move Oil Slowly) กลั้วอยู่ในปาก ไม่ต้องทำแรงนัก Dr.Karach ใช้วิธีค่อยๆ จิบน้ำมันเข้าปาก ดูด และดึง น้ำมันให้ผ่านฟันไปมาให้ทั่วๆ ใช้เวลา 15 – 20 นาที
– ในขั้นตอนนี้ น้ำมันจะผสมกลมกลืนกับน้ำลาย แล้วทำให้มันเคลื่อนไหวกระตุ้นเอนไซม์ เพื่อให้เอนไซม์ดึงสารพิษออกมาจากกระแสเลือด จงอย่ากลืนน้ำมันนี้ลงคอไป เพราะมันมีพิษ พิษที่ดึงออกมานั่นแหละ
– เมื่อเราคลื่อนไหวน้ำมันอยู่ในปากสักพัก จะรู้สึกว่าน้ำมันนั้นเบาบางลงไม่หนืด ลักษณะคล้ายน้ำ สีขาว
– แต่ถ้าน้ำมันนั้นยังมีสีเหลือง(น้ำมันงา ทานตะวันจะสีเหลือง น้ำมันมะพร้าวจะใส) อยู่เหมือนเดิม แสดงว่าใส่น้ำมันมากไป หรือยังใช้เวลาไม่นานพอ
– ขั้นต่อไป ให้บ้วนน้ำมันที่อมอยู่ทิ้ง แล้วใช้น้ำสะอาดล้าง หรือจะให้ดี ก็ใช้นิ้วมือช่วยทำความสะอาดฟันและเหงือกด้วยก็ได้

ล้างทำความสะอาดอ่างล้างหน้าให้ดี
คุณควรล้างทำความสะอาดอ่างล้างหน้าให้ดี (ถ้าบ้วนน้ำมันที่อมลงในอ่าง) ใช้สบู่ น้ำยาฆ่าเชื้อล้างด้วยก็ดี เพราะน้ำมันที่บ้วนทิ้งลงไปนั้นจะมีแบคทีเรีย และสารพิษ Toxin ของเสียที่ดึงออกจากร่างกาย ถ้าลองใช้กล้องขยายขนาด 600 เท่าส่องดูก็จะพบว่ามีแบคทีเรีย และจุลินทรีย์ที่อยู่ในระยะฟักตัวเพื่อก่อโรคอยู่
สิ่งสำคัญต้องทำความเข้าใจว่าการทำ OP เป็นกระบวนการทำให้ระบบเมทาโบริซึมเข้มแข็งขึ้น เพื่อให้ร่างกายเราแข็งแรง
สิ่งที่ทำให้เราเห็นชัดเจนก็คือจะทำให้ฟันของเราแน่นขึ้น ไม่โยกคลอน ทำให้เหงือกแข็งแรงสดใส ฟันก็จะขาวขึ้น
การทำ OP จะดีที่สุดก็คือตอนก่อนอาหารเช้า แต่ถ้าจะเร่งกระบวนการบำบัดให้เร็วขึ้น ก็ให้ทำ OP วันละ 3 เวลา ก่อนอาหารเช้า กลางวัน เย็น ตอนท้องว่าง

ข้อควรระวังคือ
1 อย่ากลืนน้ำมันที่ทำ OP ลงคอไป จะต้องบ้วนน้ำมันที่อมอยู่ออกทิ้งไป แต่ก็อย่าวิตกกังวลถ้าเกิดกลืน หรือ
มีน้ำมันไหลลงคอไปบ้าง ร่างกายก็จะขับออกมาทางอุจจาระเอง
2 ถ้าเกิดอาการแพ้ หรือไม่ถูกโรคกับน้ำมันที่ใช้อยู่ ก็ให้ลองเปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ดู
3 น้ำมันทานตะวัน และน้ำมันงา นั้นใช้ได้ผลพอๆ กัน น้ำมันอื่นๆ ยังไม่พบว่าใช้มากนัก และควรใช้น้ำมัน
สกัดเย็น (แต่ก่อนนั้น น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นยังไม่มีใช้ในอายุรเวท จะใช้น้ำมันงารักษาโรคเป็นส่วนใหญ่)

ที่มา ออยล์พูลลิ่ง (Oil Pulling) , ออยล์พูลลิ่ง oil pulling นวดบำบัดผ่านช่องปาก

Share

เทคนิคถนอมหลัง ช่วยทุกบ้านห่างไกลอาการปวด

ด้วยไลฟ์สไตล์คนเมืองที่ต้องเผชิญกับความเร่งรีบ อยู่กับคอมพิวเตอร์ ขับรถ โหนรถเมล์ เป็นปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่อาการปวดหลังได้ง่าย ซึ่งเป็นอาการสุขภาพเสื่อมถอยที่พบในประชากรวัยผู้ใหญ่มากถึง 4 จาก 5 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 80 โดยประมาณครึ่งหนึ่ง สามารถหายจากความไม่สบายกายนี้ได้ภายใน 2 สัปดาห์ ในขณะที่ร้อยละ 90 จะหายภายใน 3 เดือน

แต่สำหรับคนที่ปวดหลัง ร้อยละ 5-10 จะมีอาการปวดหลังเรื้อรัง และก้าวไปถึงขั้นเส้นประสาทถูกทำลาย มีอาการแสดงให้เห็น 2 ด้านชัดๆ ได้แก่ กลั้นปัสสาวะ หรืออุจจาระไม่อยู่ และแขนขาอ่อนแรง จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ดังนั้นก่อนที่อาการทรมานจะมาถึง ลองอ่านเทคนิคจากแผนงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพที่ทีมงานนำมาฝากกันดู เชื่อว่าจะช่วยให้คุณ และคนในครอบครัวห่างไกลจากอาการปวดหลังได้ไม่น้อย

เทคนิคจัดท่วงท่าให้เข้าที่

การนั่งหรือยืนให้ถูกท่าเป็นสิ่งที่ต้องทำต่อเนื่องทุกวันไปจนตลอดชีวิต เพื่อป้องกันอาการปวดหลัง รวมทั้งความเสื่อมของข้อ กระดูกและกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ

ท่ายืน ควรจะยืนตัวตรงหลังไม่โก่งหรือคด แนวติ่งหู ไหล่ และข้อสะโพกควรเป็นแนวเส้นตรง ไม่ควรยืนนานเกินไป ไม่ควรใส่รองเท้าที่มีส้น ควรจะมีเบาะรองฝ่าเท้า อย่างไรก็ตาม หากต้องยืนนานๆ ควรมีที่พักเพื่อสลับเท้าพัก หรือมีเก้าอี้หรือโต๊ะเล็กไว้วางเท้าข้างหนึ่ง

การนั่ง เป็นการเพิ่มแรงกดต่อกระดูกหลังมากที่สุด ควรมีพนักพิงหลังบริเวณเอว เลือกใช้เก้าอี้ทำงานที่นั่งสบายหมุนได้เพื่อป้องกันการบิดของเอว และมีที่พักแขนขณะที่นั่งพักหัวเข่าควรอยู่สูงกว่าระดับข้อสะโพกเล็กน้อย รวมทั้งมีเบาะรองเท้า และหมอนเล็กๆ รองบริเวณเอว เก้าอี้ต้องไม่สูงเกินไป ระดับเข่าควรจะอยู่สูงกว่าระดับสะโพก โดยอาจหาเก้าอี้เล็กรองเท้าเวลานั่ง

การขับรถ โดยเฉพาะการขับรถทางไกล ควรเลื่อนเบาะนั่งให้ใกล้เพื่อป้องกันการงอหลัง หลังส่วนล่างควรจะพิงกับเบาะ เบาะไม่ควรเอียงเกิน 30 องศา เบาะนั่งควรจะยกด้านหน้าให้สูงกว่าด้านหลังเล็กน้อย หากขับรถทางไกลควรจะพักเดินทุกชั่วโมง และไม่ควรยกของหนักทันทีหลังหยุดขับ

การนอน ที่นอนไม่ควรจะนุ่มหรือแข็งเกินไป ควรจะวางไม้หนา 1/4 นิ้ว ระหว่างสปริงและฟูก ท่าที่ดีคือให้นอนตะแคงและก่ายหมอนข้าง หรือนอนหงายโดยมีหมอนรองที่ข้อเข่า ไม่ควรนอนหงายโดยที่ไม่มีหมอนหนุน หรือนอนตะแคงโดยไม่มีหมอนข้างหรือนอนคว่ำ

อย่างไรก็ดี หลักการป้องกันโรคปวดหลังดีที่สุด คือ การออกกำลังกายและป้องกันหลังมิให้ได้รับอุบัติเหตุ โดยการบริหารร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอโดยเฉพาะกล้ามเนื้อหลัง เพราะหากไม่เคลื่อนไหวหรือออกกำลังกายจะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง การออกกำลังจะต้องค่อยๆ สร้างความแข็งแรงทั้งกล้ามเนื้อหน้าท้องและกล้ามเนื้อหลัง และจะต้องให้ข้อมีการเคลื่อนไหวได้ดีไม่มีข้อติด โดยการออกกำลังกายอาจจะทำได้โดยการเดินการขี่จักรยาน หรือการว่ายน้ำจะทำให้หลังแข็งแรงอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องทำควบคู่กันไปก็คือ รักษาน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์เหมาะสม ไม่ให้อ้วนโดยการรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ และออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น การวิ่ง ขี่จักรยาน เป็นต้น

เชื่อหรือไม่? เดินโทรฯ กระทบสันหลัง!

มีผลการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยวีนสแลนด์ ในออสเตรเลีย ระบุหากคุยโทรศัพท์ขณะเดินอยู่ อาจทำให้เกิดอาการปวดหลังได้ ทั้งนี้เนื่องมาจากวิธีในการหายใจของเรานั่นเป็นเพราะร่างกายมนุษย์ถูกออกแบบมาให้หายใจออกเวลาเท้าแตะพื้น ซึ่งจะเป็นการช่วยป้องกันการกระแทกของกระดูกสันหลัง ดังนั้น การพูดและเดินไปพร้อมๆ กันจะทำให้รูปแบบการหายใจนี้เสีย และส่งผลต่อกระดูกสันหลังของเราได้

คณะวิจัยได้ทำการวัดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อลำตัว ซึ่งเป็นส่วนที่ปกป้องกระดูกสันหลังในอาสาสมัครแต่ละคน พบว่า กล้ามเนื้อส่วนลำตัวจะทำงานได้อย่างเหมาะสมในคนที่เดินเฉยๆ แต่คนที่เดินไปพูดไปจะมีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบริเวณนี้น้อยกว่าปกติ และจะเป็นอันตรายต่อกระดูกสันหลัง

“ปัญหานี้เกิดขึ้นเนื่องจากวิธีในการสั่งงานของสมอง โดยกล้ามเนื้อจะมีหน้าที่หลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน และถูกสั่งการโดยสมองตามลำดับความสำคัญ ดังนั้น ขณะที่คุยโทรศัพท์และเดินไปในเวลาเดียวกัน สมองก็จะให้ความสำคัญกับการคุยโทรศัพท์มากกว่า และทำให้เสี่ยงต่อการปวดหลังได้มากขึ้น” คณะวิจัยกล่าวในการนำเสนอผลวิจัยนี้ต่อที่ประชุมสมาคมประสาทวิทยาสหรัฐอเมริกา

สำหรับการเดินคุยกับคนอื่นๆ นั้น ก็จัดว่าเสี่ยงต่อการปวดหลังด้วยเช่นกัน แต่การคุยโทรศัพท์มือถือขณะเดินจะมีโอกาสเสี่ยงเป็นพิเศษ เพราะมักใช้เวลากับการเดินและคุยมากกว่าปกติ

ที่มา Manager Online – เทคนิคถนอมหลัง ช่วยทุกบ้านห่างไกลอาการปวด

Share