วรภัทร์ ภู่เจริญ “จุดตะเกียง ดีกว่าด่าความมืด”

ว่ากันว่าคนเราควรคิดบวก แล้วจะดีต่อชีวิต ถ้าคิดลบแล้วจะทำอย่างไร ลองอ่านอีกแง่คิดของนักวางยุทธศาสตร์คนนี้

หลายปีที่แล้ว เคยสนทนากับดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ อดีตวิศวกรองค์กรนาซา ที่ผันตัวมาใช้ชีวิตในเมืองไทยอย่างสร้างสรรค์ ด้านหนึ่งเป็นนักวางยุทธศาสตร์ ที่ปรึกษาการบริหารองค์กรและระบบบริหารจัดการให้บริษัทใหญ่หลายแห่ง เพื่อช่วยฝึกอบรมนักบริหารรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นโครงการระยะยาว โดยเขาตั้งบริษัทอริยชน จำกัด เพื่อทำงานด้านวิทยากรบรรยาย และผลิตหนังสือที่เขียนเอง

อีกด้านสอนธรรมะให้กับลูกศิษย์ โดยเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ เพราะได้เห็นแล้วว่า การสอนปริมาณเยอะๆ ได้แค่จุดประกายความคิด ไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในมิติที่ลึก ซึ่งการสอนธรรมะของเขา ก็ต้องมีกุศโลบายที่แยบยล

เมื่อเชื่อว่า คนเราเรียนรู้ตลอดชีวิต เขาจึงไม่หยุดที่จะแสวงหาแนวคิดใหม่ๆ มาใช้กับชีวิตและการสอน มีเวลาไปเรียนยิ่งธนู และเรียนวาดภาพกับลูกๆ

ณ วันนี้ เรากลับมาคุยกับเขาอีกครั้ง เพื่อตรวจสอบความคิดนักวางยุทธศาสตร์ที่เข้าใจชีวิตอย่างแตกฉาน ในช่วงศักราชใหม่ ผู้ชายคิดบวก อารมณ์ดี ที่มีคนกล่าวถึงมากคนหนึ่งในประเทศนี้ มีแง่คิดอะไรน่าสนใจ ลองตามอ่าน…

  • อยากให้เล่าบทบาทการเป็นที่ปรึกษาบริษัทในปัจจุบัน ?

ผมเห็นพระพยอมแล้วเหนื่อยแทน ไม่อยากออกสไตล์นั้น (หัวเราะ) พอสอนคนเยอะๆ เหมือนเหวี่ยงแห ไม่โดน ผลลัพท์ที่ออกมาค่อนข้างน้อย แต่เรื่องเป็นที่ปรึกษาการบริหารจัดการไม่มีปัญหา ปีหน้าเหลือไม่กี่บริษัท เอาเฉพาะที่มีพระคุณกัน ช่วยทำมานานกว่า 8-10 ปี ไม่อยากทิ้ง ก็ช่วยกันไป จะสอนผู้บริหาร ส่วนใหญ่คนประสบความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่ผม เราก็เหมือนมือที่สาม

จริงๆ แล้วผู้บริหารพวกนี้เก่งกว่าผมเยอะ เพียงแต่ผู้บริหารระดับสูงใช้ผมเป็นตัวกระตุ้น ก็จะดูดีกว่า เหมือนการพูดแทน แต่ถ้าเป็นเรื่องการสอนธรรมะคิดว่า น่าจะสอนแบบเจาะลึก

  • ที่ผ่านมา มีบทสรุปในเรื่องการพัฒนาคนอย่างไร

บทสรุปก็คือ การศึกษาไทยล้มเหลว แต่ละบริษัทต้องทำการพัฒนาบุคลากรเอง เพราะการศึกษาไทยสอนให้โง่กว้าง เฉพาะส่วนเกินไป เด็กสมัยใหม่กวดวิชามาเยอะ พอมาทำงานบริษัทมีปัญหาหมด ทำงานไม่เป็น รู้เยอะแต่คิดไม่เป็น เรียนมาเยอะแต่ไม่ได้ใช้ในชีวิตจริง พวกอาจารย์มหาวิทยาลัยกับคนข้างนอกเหมือนอยู่คนละโลก อาจารย์พวกนั้นไม่รู้ผลิตเด็กอะไรออกมา ท่องจำ บริษัทไม่ต้องการคนแบบนั้น

  • เป็นผลผลิตที่ล้มเหลว ?

ถ้าให้ผมยกตัวอย่าง อย่างคณะวิศวะในเมืองไทย เปิดมากว่าร้อยปี ไม่เคยมีนวัตกรรมใหม่ ซื้อเทคโนโลยีต่างชาติตลอด ประเทศก็ไปไม่รอด พวกที่เอาดีทางวิศวะไม่ได้ ก็หนีไปเรียน MBA คิดเหมือนฝรั่งหมด ฝรั่งบอกว่าให้เรียนแบบนี้ คิดแบบนี้ ก็คิดตรงกับเขา เขาก็อ่านเกมเราออก ทำธุรกิจอะไรก็แพ้ ขณะเดียวกันเด็กสมัยใหม่คุมอารมณ์ไม่ได้ ผู้บริหารรุ่นใหม่ก็ไม่ต่างกัน ใช้อารมณ์แทนปัญญา พังหมด ไปไม่รอด เศรษฐกิจไทยพังหมด เวลาทำการตลาด ก็ทำแบบเดิมๆ ลด แลก แจก แถม โปรดักส์ใหม่คิดได้แค่นี้ ไม่ได้คิดอะไรใหม่

  • แล้วจะฝึกวิธีคิดอย่างไร

เราใช้วิธีการระดมความคิด เมื่อจิตว่างปัญญาจะออกมา มีหลายบริษัทได้นวัตกรรมใหม่ๆ ที่เราไปช่วยปรับวิธีคิดของวิศวกร เราก็มีวิธีการ ยกตัวอย่าง คุณลองนึกภาพนักข่าวโง่ๆ เวลาตั้งคำถาม ก็คิดว่า “ฉันจะถาม ถาม…และเตรียมธงไว้ในใจแล้ว ไม่ได้คิดร่วมไปกับผู้โดนถาม

หรือพวกวิศวกร เก่งคำนวณ แต่ประดิษฐ์สิ่งของไม่เป็น เป็นได้แค่วิศวกรจัดซื้อไม่สามารถคิดเรื่องใหม่ๆ เหมือนนักข่าวที่ตั้งคำถามโง่ๆ ซึ่งต่างจากนักข่าวฝรั่ง ยิ่งคำถามแรงๆ มองให้เห็นผล

อาทิถามว่า ถ้าคุณเป็นคนสำคัญแล้วทำแบบนี้ แผ่นดินจะเป็นอย่างไร นี่คร่าวๆ แต่จริงๆ แล้วมีนักข่าวเก่งๆ และร้ายๆ หลายคน

  • เป็นเพราะความกลัว ?

ความกลัวนี่แหละที่ถูกใช้ในระบบการศึกษาไทยทั้งชีวิต พอเข้ามาทำงานก็ไม่กล้าคิด ไม่กล้าแสดงออก เพราะเด็กไทยไม่ได้ถูกฝึกให้กล้าพูด ยกตัวอย่างผมไปให้คำปรึกษาบริษัทแห่งหนึ่ง ผมจับได้เลยว่า ปัญหามาจากผู้บริหารใช้ 6 B คือ เบิ้ล บี้ ใบ้ โบ้ย บล็อก

เบิ้ล ผู้บริหารส่วนใหญ่นึกว่าตัวเองเรียนเก่งกว่า เรียนสูงกว่า บางคนชอบแซวคนอื่นว่า ฉันจบสูงกว่าเธอ เธอประสบการณ์น้อย พออัดไปสองสามครั้ง ลูกน้องก็ไม่กล้าเล่าความจริง กลัวว่าพูดออกมาแล้วจะดูโง่

บี้…คือ กดดัน เร่งเอาผลงาน สุดท้ายเด็กรุ่นใหม่ก็ลักไก่ ใบ้…คือผู้บริหารชอบคิดว่า คุณน่าจะคิดได้เอง ไม่ยอมสอน ไม่ยอมพูดอะไร รอด่าและอัดอย่างเดียว นี่คือสันดานผู้บริหารไทย ในละครทีวี พระเอกในเรื่องแรงเงา ผู้ชายเจ้าชู้ ทำนิ่งใบ้ ปล่อยปัญหาให้เมียน้อยและเมียหลวงตบตีกัน ไม่ตัดสินใจอะไรทั้งสิ้น นี่เป็นนิสัยผู้ชายไทย

ส่วนคำว่า โบ้ย คือ หาคนผิดเป็นแพะ ฉันไม่ผิด ฉันไม่เกี่ยว โยนไปเรื่อย, บล็อก ก็คือ พอเด็กรุ่นใหม่คิดอะไรใหม่ๆ ได้ ก็สกัดดาวรุ่ง คำถามโง่ๆของผู้บริหารไทยที่ใช้บ่อยก็คือ เวลาเด็กคนหนึ่งเสนอผลงาน จะพูดว่า “ที่ไหนเคยทำสำเร็จบ้าง”

ผมคิดว่า พูดแบบนี้ก็โง่แล้ว คือไม่กล้าออกนอกกรอบ ไม่กล้าทำอะไร พวกเขามักจะถามว่า “ฝรั่งหรือญี่ปุ่นทำแบบนี้หรือยัง ถ้าเขาทำ ฉันทำ” เพราะการศึกษาแบบไทยๆ ไม่ได้สอนให้เด็กและผู้ใหญ่แลกเปลี่ยนความคิดกัน นี่เป็นปัญหาในองค์กร และตัวสุดท้ายคือ เบิ้ล …ตำหนิ ซึ่งตำหนินี่น่ากลัวมาก สังคมไทยนี่ด่ากันอย่างเดียว อะไรก็ผิดหมด ไม่มีถูก ไม่ต่างจากการเลี้ยงดูเด็ก เราต้องวางยุทธศาสตร์ อย่าพึ่งรีบร้อนด่า ถามว่าจัดการกับเด็กไหม จัดการแน่นอน แต่วิธีการจัดการต้องเนียน ถ้าคนทำดี ต้องรีบชม แต่สังคมไทยไม่ใช่แบบนั้น เมื่อทำผิด ด่าเลย เมื่อด่าแล้วก็สร้างความโกรธแค้น แต่ไม่มีคำตอบ

  • ในฐานะที่ปรึกษาองค์กร อาจารย์มีวิธีการแก้ปัญหาอย่างไร

วิธีแก้ปัญหาของผม ก็คือตั้งวงสนทนา ถอดยศ ถอดตำแหน่ง ให้ค้นหาตัวเอง ดูปมในใจแต่ละคน บางคนมีปมตอนเด็กๆ ไม่เคยมีคนสนใจ พอทำงานบริษัท ก็พยายามจะอวดเก่งทำอะไรมากมาย หรือบางคนพ่อแม่รวย ทิ้งบริษัทไว้ให้ เป็นพวกรัชทายาทขึ้นครองราชย์ แต่ทำอะไรไม่เป็น หน้าใหญ่ใจโต ฉันลูกเถ้าแก่ แต่ปล่อยโง่ให้พนักงานหัวเราะ เป็นเรื่องปกติมากในสังคมไทย

  • ใช้เวลานานแค่ไหนในการเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร

5-8 ปี อย่างเอสซีจี ผมไปช่วยเป็นที่ปรึกษา เพื่อเปลี่ยนระดับผู้บริหาร ถ้าถามว่าเปลี่ยนได้ไหม ถ้าคุณอยากรู้ ต้องไปคุยเอง เดี๋ยวหาว่าผมโม้ ในแง่ผลผลิตบริษัทก็ขยายสาขาได้ กำไรเพิ่ม ส่วนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมระดับผู้บริหาร ไม่ได้เปลี่ยนทั้งหมดนะ

เราต้องมีเวทีให้เด็กได้แสดงออก ไม่ใช่ว่าไม่เคารพผู้ใหญ่นะ แต่ผู้ใหญ่นั่นแหละที่ไม่เคารพเด็ก นี่คือปัญหาสังคมตอนนี้ ถ้าไม่แก้ เจ๊งแน่นอน ไปไม่รอด สุดท้ายประเทศไทยก็จะเป็นขี้ข้าฝรั่งทั้งแผ่นดิน

อย่างบางคนที่ผมเจอ ชอบที่จะเรียนรู้ข้อมูลใหม่ๆ แต่หาตัวเองไม่เจอ เราก็สอนอานาปานสติ ฝึกให้ทำอะไรซ้ำๆ ไม่อย่างนั้นคนๆ นั้นก็จะค้นหาไปทั้งชีวิตผู้บริหารบางคน ผมต้องไปนั่งประชุมด้วย เพื่อจะดูพฤติกรรมวางแผนจัดการ

คุณเคยดูรายการเกี่ยวกับหมาเกเรของฝรั่งไหม เขามียุทธศาสตร์การจัดการ คนก็เหมือนกัน บางคนพยศต้องใช้งานให้หนัก เดี๋ยวหายเอง

บางคนเปลี่ยนไปตามเจ้านาย นายร้ายก็ร้ายตาม นายดีก็ดีตาม ผมว่าการพัฒนาต้องกลับมาที่สติ พอพูดเรื่องสติ ก็เป็นธรรมะ ผมพยายามหลบคำเหล่านี้ เพราะการทำงานปรับเปลี่ยนวิธีคิดผู้บริหาร ไม่ได้มีศาสนาเดียว ยังมีศาสนาอื่น จึงต้องพูดให้ออกแนวศาสนาสากลเป็นวิทยาศาสตร์ เพราะเมื่อใดใช้คำทางพุทธมีเรื่องทุกที

  • ทำไมเลี่ยงที่จะใช้คำทางพุทธศาสนา

ผู้บริหารบางคนมีปมด้อยด้านศาสนา เพราะศาสนารังแกเขาตั้งแต่เด็ก บางคนเกลียดศาสนา เพราะพ่อแม่หย่าร้างกัน แม่ไม่เลี้ยงเขา วันๆ แม่นุ่งขาวห่มขาว สวดมนต์ทั้งวัน กลายเป็นศาสนาขโมยแม่ไป ซึ่งเขาไม่เข้าใจ นั่นแม่ทำเขาเจ็บ ไม่ใช่ศาสนาทำเจ็บ

  • การพัฒนาคน อาจารย์ให้ความสำคัญกับเรื่องใด ?

ปัญญามนุษย์มีสามชุด ปัญญาสมอง ปัญญาใจและปัญญาร่างกาย เวลารับคนเข้าทำงาน ส่วนใหญ่ดูแค่ความคิด แต่ผมเวลารับคน จะดูที่จิตอาสา สังคมเปลี่ยนไป เพราะเราไม่ได้ฝึกฐานใจ ความอดทน อดกลั้น สติฝึกน้อยไป นิดๆ หน่อยๆ ก็ชักปืนยิ่งกัน และเดี๋ยวนี้ชายไทยและหญิงไทยอยู่กับคอมพิวเตอร์ ดังนั้นปัญญาที่เกิดขึ้นที่ใจและการฝึกสติจึงมีน้อยลง

  • จะมั่นใจได้อย่างไรว่า คนกลุ่มนี้ทำงานเป็น

อยู่ที่ผมฝึกฝนพวกเขา หลายบริษัทที่ผมฝึกให้ผู้บริหาร หกเดือนไม่ต้องทำงานให้มาล้างสมองเข้าใจเรื่องปัญญาใจ ปัญญากาย สอนเรื่องสติ บางแห่งส่งผู้บริหารรุ่นใหม่ไปอยู่ปราชญ์ชาวบ้าน ทำนา แล้วมีการทำกิจกรรมกลุ่ม บริษัทจำลอง ให้ดูการประชุมบอร์ดใหญ่ บางแห่งพาไปปฎิบัติธรรม หรือไปดูเจ้านายแต่ละหน่วยงานทำงาน ถ้าคุณไม่ชอบก็ออกไปตอนนี้ก่อนจะทำงาน

  • ผลการฝึกผู้บริหารรุ่นใหม่หกเดือนเป็นอย่างไรบ้าง

วิธีการนี้ก็ลาออกไปครึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลือก็มีความมั่นใจ เป็นการพัฒนาแบบยั่งยืน พาไปดูภูมิปัญญาชาวบ้าน ดูกระบวนการคิดนวัตกรรม

  • ให้เรียนรู้ตั้งแต่ท้องนาจนถึงระดับบริหาร ?

ปรับวิธีคิด ล้างสมองจากที่มหาวิทยาลัยสอน ลองทำดูแล้วล้อมวงสุนทรียะสนทนา ซึ่งสำคัญมาก ในตะวันตก ญี่ปุ่นและเกาหลี จะใช้วิธีการนี้ แต่บ้านเราไม่ค่อยทำสุนทรียะสนทนา ถ้ามีปมที่ใจ ต้องปรึกษากันเป็นการส่วนตัว เป็นความลับที่เราคุยกัน ผมไม่เปิดในวงใหญ่ ถ้าเปิดปม แล้วไม่มีวิธีแก้ ในศาสนาพุทธเรียกว่าตอกย้ำ ผมให้อยู่กับปัจจุบัน อดีตลืมไปเลย ถ้าคุณคิดว่าไม่มีปม มันก็ไม่มีปม

  • พูดง่ายแต่ทำยาก ?

ต้องฝึกครับ ฝึกเยอะมาก จับจุดอ่อนให้ได้ว่า เราเป็นคนแบบไหน บางคนโรคน้อยใจพ่อแม่สูงมาก ละครเรื่องแรงเงา เป็นเรื่องของการน้อยใจพ่อแม่ทั้งนั้น เวลาเข้าไปเป็นที่ปรึกษาบริษัท ผมต้องจับมาเรียนวิชาพ่อแม่ แล้วให้อภัยพ่อแม่ การขมาพ่อแม่ให้ทำซะ เรื่องกตัญญูเลย

  • พ่อแม่รังแกลูกก็มีเยอะไม่ใช่หรือ

ต้องให้อภัยอย่างเดียว ไม่มีสิทธิต่อว่า อย่างบางคนพ่อเจ้าชู้ พ่อก็คือพ่อ เจ้าชู้ก็คือเจ้าชู้ แม้พ่อแม่บางคนจะเลว เราก็ต้องกด like ไม่กด Dislike

  • มีหลักการในการรับคนเข้าทำงานอย่างไร

เวลาผมคัดผู้บริหารรุ่นใหม่ ไม่ได้ดูแค่ทำงานเป็น แต่ดูสมดุลชีวิตด้วย ถ้าลูกเมียยังดูแลไม่ได้ อย่าหวังเลยว่าคุณจะดูแลลูกน้องได้ ถ้าคุณเอาเวลาเสาร์อาทิตย์ไปเล่นกีฬา ไม่ดูแลลูกเมีย คุณมีเมียน้อย ก็ใช้ไม่ได้ เพราะผู้หญิงคนหนึ่งเสียสละมาเป็นเมียคุณทั้งชีวิต แล้วคุณก็หักหลังเขา

  • จะมีผู้ชายไทยสักกี่คนที่คิดแบบนี้ ?

เยอะนะครับ ผู้บริหารในบริษัทที่ผมไปให้คำปรึกษา เริ่มคุยเรื่องพวกนี้มากขึ้น ต้องเป็นองค์กรที่เป็นตัวอย่างให้สังคม ไม่อย่างนั้นก็เกิดเรื่อง เซ็กส์ช่วลฮะราเม้นท์ ความเมตตาของคนที่เป็นสามีหายไปไหน

คุณกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ อ้างว่าประชุม จริงๆ คุณนั่งดื่มเหล้า เพราะคุณหลีกเลี่ยงที่จะช่วยเมียล้างจาน คุณหนีทุกอย่าง ปล่อยให้เมียล้างจานทั้งวัน แล้วพาลูกไปกวดวิชาที่นั่นที่นี่ คุณปล่อยจนผู้หญิงคนนี้แก่ พอผู้หญิงแก่ คุณก็มีเมียน้อย ในแง่ผู้บริหารคบไม่ได้ โอกาสโกงองค์กรสูงมาก

  • ผู้ชายไทยถูกเลี้ยงดูมาแบบนี้ไม่ใช่หรือ

ต้องค่อยๆ แก้ พอผมมาปฎิบัติธรรมก็ค่อยๆ เปลี่ยน เข้าใจคนมากขึ้น ถ้าไปทำใครสักคนชอกช้ำ มันไม่คุ้ม แม้จะมีคนบอกว่า คนนั้นชั่ว ผมก็มองในแง่ดีได้ เราต้องเหมือนพระ เขาจะดีหรือชั่ว เราก็ต้องแก้ให้ ชื่นชมในจุดดีๆ แต่สังคมไทยสาปแช่งความมืดกันตลอด ไม่เคยมีใครจุดตะเกียง พลังงานที่ทะเลาะกับคน เอามาทำอะไรใหม่ๆ ดีกว่า ผมรณรงค์ให้คนปลูกผักกินเอง อยู่คอนโดก็ทำได้ ดูในเฟสบุ๊คผมได้ เพราะเด็กไทยกินแต่ผักในซุปเปอร์มาร์เก็ต ลองหันมากินผักพื้นบ้าน ออมแซบ อัญชันบ้างก็ได้

  • จากที่คุยมา มีข้อแนะนำมากมายในการใช้ชีวิต แล้วอาจารย์ได้คิดใหม่ทำใหม่อะไรบ้าง

ผมไปเรียนยิ่งธนู เด็กอายุยี่สิบกว่าสอน ก็ได้ปรัชญาจากการยิ่งธนู และนำมาปรับใช้กับการสอนคนในองค์กร เมื่อผมไปเรียนก็เริ่มเข้าใจว่า ทำไมคนญี่ปุ่นต้องยิ่งธนูคิวโด เพื่อสอนสมาธิแบบเซน คนญี่ปุ่นเวลายิ่งโดนระยะหนึ่งเมตร ก็ขยับยิ่งสองเมตร ถ้ายิ่งสองเมตรไม่โดน ก็ขยับกลับมายิ่งหนึ่งเมตร ต้องทำซ้ำ ที่การศึกษาไทยล้มเหลว เพราะไม่มีการทำซ้ำ เรียนแคลคูลัสหนึ่ง ขึ้นสองและสาม ทั้งๆที่แคลคูลัสหนึ่งยังไม่แม่น แต่เร่งให้เรียนจบเร็วๆ เรามีแต่นักอ่าน ไม่มีนักทำ

นอกจากเรียนยิ่งธนู ผมยังเรียนวาดภาพ เพื่อจัดการจริตขี้โมโห แทนที่ผมจะสอนให้คนฝึกสติ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา บางคนรับตรงนี้ไม่ได้ ก็เอาธนูมาสอนให้ยิ่ง ไม่ว่าเรื่องใด ผมคิดว่า คนเราต้องมีครู คนโบราณจะถามก่อนเลยว่า คุณเป็นลูกศิษย์ใคร และครูในที่นี่ไม่ได้หมายถึงอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ปิ้งแผ่นใส ครูทางโลก ครูทางธรรม ต้องชัดเจน การปฎิบัติธรรม ก็ต้องมีหลวงปู่หลวงพ่อที่เก่งเป็นครู

  • การจัดการกับพวกโทสะจริต ใช้ศิลปะช่วยอย่างไร

พวกขี้โมโหต้องให้ฝึกศิลปะ ลูกศิษย์ผมส่วนใหญ่เป็นวิศวะและจบด้านบริหาร คนกลุ่มนี้ใช้สมองซีกซ้าย ไม่ค่อยสนใจเรื่องศิลปะ มีแต่เรื่องวัตถุ ต่างจากพวกฝรั่งเศส อิตาลี เกาหลี ญี่ปุ่น คนประเทศเหล่านี้จะทำอะไรต้องคิดถึงศิลปะก่อน ถ้าสร้างตึกทื่อๆ ไม่มีศิลปะ ใจคนก็เหี่ยม พวกติสไม่มีระบบก็ยุ่ง เพราะเราเรียนรู้แบบแยกส่วน

  • ต้องกลับมาที่ความสมดุล ?

ใช่ครับ ต้องสมดุล เรียนรู้ตลอดชีวิต ศิลปินไทยเก่งๆ สุดท้ายปฎิบัติธรรมทั้งนั้น ยกเว้นศิลปินที่หลอกชาวบ้าน

  • การวาดภาพของอาจารย์เป็นอย่างไรบ้าง

เรียนไปพร้อมลูกๆ ก็ได้เทคนิค กว่าจะวาดภาพแต่ละใบ ต้องใช้อารมณ์และความอดทน อย่างภาพสีน้ำมันผม สามเดือนยังวาดไม่เสร็จ ต้องรอให้แห้ง แล้ววาดต่อ ซึ่งคนที่จบวิศวะมา จะไม่เข้าใจความรู้สึกแบบนี้ เวลาทำงานจะใจร้อน สั่งไปเรื่อยและขี้โมโห

  • ต้องรู้เท่าทันความคิด เรียนรู้สิ่งใหม่ และทำซ้ำ จึงจะพัฒนาตัวเองได้ ?

ผมไม่เคยไปไต้หวัน ผมก็ไปหาอะไรใหม่ๆ ไปดูระบบการบริหารในวัดใหญ่ๆ ไปดูพระเซนในไต้หวันฝึกฝนตัวเอง ทำไมมูลนิธิฉือจี้ทำระบบใหญ่ในการเก็บขยะช่วยเหลือคนจนได้ เรื่องพวกนี้อ่านหนังสือไม่ได้ ต้องไปดู ในปีนี้ผมจะไปมองโกเลีย ผมตั้งคำถามว่าจริงหรือที่เจงกีสข่านโหดเหี้ยม เราอาจถูกหลอกเชิงประวัติศาสตร์ก็ได้ ผมจะไปคุยกับคนมองโกลและดูวิถีชีวิต เพราะทางโลกผมฝึกตัวเองพอแล้ว ผมก็ฝึกทางธรรม เอาเทคนิคมาสอนทางโลก หลวงปู่หลวงพ่อที่ปฎิบัติธรรม ส่วนใหญ่ไม่ทิ้งโลก ฝึกทางธรรมต้องไม่ทิ้งทางโลก ฝึกทางโลกต้องไม่ทิ้งธรรม เป็นของคู่กัน ก่อนหน้านี้ผมเคยฝึกแบบพระป่า ไม่ยุ่งทางโลกเลย ไม่ฟังเพลง จนกระทั่งเข้าไปค้นพบธรรมในระดับหนึ่ง ก็ถอยออกมา เจอแล้วเข้าใจก็สอนได้ เข้าใจว่าทุกข์คืออะไร เมื่อก่อนก็โง่ๆ เซ่อๆ ไม่รู้เรื่องเลย เวลาสอนผมใช้วิธีการให้ทำก่อน แล้วค่อยนั่งคุยกัน จนกระทั่งลูกศิษย์คิดได้เอง

  • การสอนธรรมะต้องฝากตัวเป็นลูกศิษย์ไหม ?

ธรรมะเป็นของฟรี การศึกษาสมัยใหม่ต้องมีตำรา สมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าไม่เคยให้เขียนตำราด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่สมัยนั้นขีดเขียนได้แล้ว สังเกตได้เลยว่า พวกนักอ่านจะไม่ค่อยเข้าใจธรรม แล้วตีความเอง เหมือนเราไม่สามารถเขียนกลิ่นทุเรียนให้คนเข้าใจได้ เราไม่สามารถแต่งเพลงเพื่อบรรยายรสชาติพริกได้ เรื่องทางพุทธเป็นเรื่องทางใจ ไม่ใช่เรื่องสมอง เป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นที่กลางใจผู้คน ต้องผ่านครูบาอาจารย์ที่วางแบบฝึกหัดไว้ให้ อย่างผมสอนให้ลองเดินจงกรมเจ็ดวัน ถ้าสามวันเริ่มขี้เกียจ ผมก็เลิกสอน เสียเวลา เขาศรัทธาไม่พอ ครูบาอาจารย์ก็จะใช้วิธีแบบนี้ ถ้าไม่สนใจ ก็เวียนว่ายตายเกิดต่อไป ตัวผมเองก็ต้องฝึกอยู่เรื่อยๆ ประมาทไม่ได้ ทุกอย่างไม่เที่ยง หลงตัวเองไม่ได้ ผมก็ผ่านด่านยากๆ มาแล้ว

  • คนเราควรฝึกการคิดบวกไหม

ผู้บริหารคนหนึ่งที่ผมเจอ เป็นคนงก ตัดโบนัสลูกน้อง แล้วพวกเราทำยังไงรู้ไหม ผลัดกันเอาของไปให้ ให้ไปเรื่อยๆ จิตใจเขาก็อ่อนลง เพราะทั้งชีวิตเขาเกลียดพี่ชายและน้องชายที่เรียนเก่ง ก็เลยถีบตัวเองเป็นผู้บริหารเพื่อพิสูจน์ให้พ่อแม่เห็นว่า ฉันเก่งกว่าพ่อแม่ ปมแค่นี้เอง พอจับปมตรงนี้ก็ช่วยกันแก้ เจ้านายคนเดียว พวกเรายี่สิบกว่าคน ทำไมจัดการไม่ได้ ในอนาคตแผ่นดินจะเดือดร้อนมีปัญหาทุกหย่อมหญ้า คนที่คิดบวกไม่ทันจะล้มเหลวแน่นอน

  • มองโลกในแง่จริงไม่ดีกว่าหรือ

ก็ใช่ คนเราต้องมองโลกในแง่จริง เหมือนการตั้งสายกีตาร์ บวก… ศูนย์… ลบ…หย่อนคือลบ ดังนั้นต้องดึงมาที่บวกก่อน แล้วค่อยหาศูนย์กลาง เหมือนเวลาคนทะเลาะกัน ให้มองคนนั้นบวกก่อน เมื่อรู้ว่าเขาขี้โมโห เราต้องเข้าใจมุมมองคนขี้โมโห เสือก็คือเสือ เข้าใกล้มันก็ตบ หรือแมวเข้าใกล้ก็ข่วน เราต้องมองคนแบบไร่นาส่วนผสม ต้องเข้าใจคนก่อน

  • ที่อาจารย์อธิบายมาก็คือให้มองบวกก่อน แล้วหาจุดสมดุล ?

มองบวกอย่างเข้าใจ แล้วจะเห็นตรงกลาง ถ้ามองบวกมากๆ จะหลงตัวเอง แต่ก็ดีกว่ามองลบ ผมมองสามระดับ จากลบมาบวก สุดท้ายก็คือ สมดุล

  • นำธรรมะมาปรับใช้อย่างไร

ที่ไหนเป็นธรรมชาติที่นั่นก็ไม่มีปัญหา ถ้าผิดธรรมชาติ ผิดหมด แต่ทั้งหมดต้องฝึก ผมเองก็ฝึกหนักหน่วง ธรรมะคือเข้าใจธรรมชาติ

  • บางคนไม่ได้สนใจศาสนา ก็ทำเรื่องดีๆ ให้สังคมมากมาย ?

ก็ได้ Level ดี แต่พุทธศาสนาไม่ได้บอกให้ทำดีเสมอไป ทำดีก็เป็นเทวดา ก็เสียเวลาเวียนว่ายตายเกิด แต่พุทธต้องเหนือดีขึ้นไปอีก อย่าติดดี มันแก้ยาก สังคมชอบบอกว่า เป็นคนดี สุดท้ายหลงตัวเองได้ง่าย วันใดก็ตามที่เราตัดสินว่า คนนั้นดี คนนี้ชั่ว เราชั่วแล้ว

  • แล้วจะใช้มาตรฐานอะไรวัด

ใจเราต้องไม่ทำร้ายใคร เวลาทำประโยชน์ให้คนอื่น ดีหรือไม่ดี ไม่ต้องสนใจ ไม่ตัดสิน แปลกไหม อย่างบริษัทปูนซิเมนต์ทำฝายเป็นแสนๆ ฝาย ก็ทำไปไม่ต้องคิดอะไรมาก เพราะเราเป็นสังคมปรนัย ในหัวมีแต่ถูกที่สุด ในเวลาจำกัดต้องกาข้อที่ถูกที่สุด สุดท้ายต้องที่สุด

สังเกตไหมเวลามีเรื่องทะเลาะกัน จะมีคนถามว่า คุณแดงหรือเหลือง.. ไม่มีตัวเลือกอื่นหรือ มีวิธีเดียวคือ ฆ่ามันหรือจัดการมันหรือ มีวิธีอื่นเยอะแยะ

  • ในช่วงศักราชใหม่ คนไทยควรปรับตัวอย่างไรบ้าง

ง่ายๆ เลยนะ คือ เมตตากันบ้าง นิดๆ หน่อยๆ อย่าเอาเรื่อง คำว่าเมตตาหายไปจากสังคมไทย ขับรถเบียดกันนิดหน่อย แผลนิดเดียว ตกลงกันไม่ได้ รถติดยาว จะเอาเรื่องกันให้ได้ การเปลี่ยนแปลงในประเทศไทยต้องเริ่มต้นตรงชายขอบใหม่ๆ จะแก้ตรงกลางไม่ได้แล้ว ต้องมีคนสร้างหน่อใหม่ๆ

สังคมไทยด่ากันมาเยอะแล้ว ถ้าเมตตากันหยุดด่า แล้วทำอะไรบ้าง ด่ากันในเฟสบุ๊ค หนังสือพิมพ์ ผมเองก็เคยด่าคนอื่น พอมาปฎิบัติธรรมก็รู้ว่าไม่มีประโยชน์

ผมเปลี่ยนมาเป็นพุทธตอนอายุ 39 ปี เข้าใจธรรมะจริงๆ ต้องอายุ 40 กว่าๆ ดังนั้นผมคิดว่าคนเราจุดตะเกียงดีกว่าด่าความมืด

  • ช่วงไหนที่อาจารย์สนุกกับการใช้ชีวิตมากที่สุด

นั่งคุยตอนนี้ก็สนุก มันสนุกทุกวินาที ต้องมีสติ ไม่เอาเรื่องใคร ไม่พิพากษา ไม่ตีความว่า คนนี้โง่ คนนี้ฉลาด เราต้องอยู่กับปัจจุบัน คนส่วนใหญ่มีแนวโน้มว่าอยากจะฟังของใหม่ ที่ทำให้ของเก่าดีขึ้น อะไรที่ไม่ตรงกับกะลาของตัวเองก็ไม่รับฟัง คนพวกนี้ไม่เรียนรู้อะไรใหม่ ส่วนผมเองถ้าเรื่องไหนไม่เชื่อ ไม่มั่นใจ ก็ลองสักตั้ง อย่างผมเป็นคริสต์ย้ายมาเป็นพุทธ ต้องอาศัยความกล้า และลองจริง บวช เดินในป่าช้า เจอครูบาอาจารย์ที่ถูกต้อง ไม่ใช่อ่านเอง พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า ให้ห่างไกลจากคนพาล คบบัณฑิต แต่สมัยนี้เราไม่เคารพครู

  • อยากให้วิเคราะห์อนาคตเมืองไทย

ถ้ามองในแง่ธรรมะ อนาคตมันเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะจิตใจผู้คน ถ้าจิตใจคนไทยดีงาม ข้างหน้าก็ดีงาม มันเป็นความจริง แต่ณ วันนี้ มันเป็นสังคมแห่งความเกลียดชัง แบ่งแยก ในอนาคต ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ประเทศนี้ก็แหลก ถ้าจะแก้ต้องหยุดสาปแช่งความมืด แล้วจุดตะเกียงปัญญา ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ กฎแห่งกรรมก็วางไว้ระดับหนึ่ง แต่ถ้าคนมีสติ อนาคตก็เปลี่ยนไปตามสติที่เราฝึก ผมเชื่อว่า ประเทศนี้มีสิ่งศักดิ์สิทธ์เยอะ มีหลวงปู่หลวงพ่อ ไม่ว่าจะเลวร้ายแค่ไหน ก็ไม่ต่ำสุดขีด ประเทศนี้สุดยอดเลย

ถ้ามองทางโลกก็เรื่องภูมิปัญญาบกพร่อง การศึกษาล้มเหลว ค้นหาตัวเองไม่เป็น เอาง่ายๆ คุณรู้จักตัวเองไหม ก่อนจะโกรธใคร มีเหตุอะไรให้โกรธ

ถ้าผมสอนธรรมะ ผมก็ไล่หาสาเหตุไปเรื่อยๆ เพื่อให้คนรู้ตัวตน มีปมอะไร หรือถูกเลี้ยงดูมาแบบไหน บางคนพ่อแม่กดดันมาทั้งชีวิต พอมาทำงานบริหารก็กดดันลูกน้อง บางคนมีความเชื่อว่า งานมาก่อนครอบครัว หรือตกเป็นทาสพืชผักสมัยใหม่ ไม่ว่าจะใส่สารพิษหรือตัดต่อพันธุกรรม ก็ไม่เคยรู้เรื่อง เพราะเก่งแต่การบริหาร ทั้งชีวิตไม่เคยเข้าใจเรี่องพวกนี้ หรือไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม หาเงินไปวันๆ แล้วไม่รู้ว่า สิ่งที่ทำอยู่ใช่ความสุขหรือไม่ เพราะคนเรามีจริตอยู่ 6 อย่าง ถ้าเข้าใจตัวเองก็จะเข้าใจคนอื่น

  • แต่ตอนนี้เราตกเป็นทาสตะวันตกไม่ใช่หรือ

ใช่ หนักขึ้นเรื่อยๆ เป็นขี้ข้าฝรั่งในแง่ธุรกิจ อีกหน่อยจะโดนฮุบที่ดิน ฮุบธุรกิจ ไม่ต้องพูดถึงวิสัยทัศน์หรอก นวัตกรรมใหม่ๆ ของเราไม่มี เรากินน้ำใต้ศอกเทคโนโลยีของชาติอื่น แล้วไม่พยายามรักษาจุดแข็ง ไทยเป็นประเทศกสิกรรม เก่งสมุนไพร เก่งบริการ ถ้าเราหยุดอุตสาหกรรม ทำแบบนิวซีแลนด์ เอาจุดเด่นของเรา เรื่องการท่องเที่ยว สปา สมุนไพร ความน่ารักของผู้หญิงไทยในเรื่องการบริการ โรงพยาบาลไทย หมอไทยเก่งๆ ก็น่าจะดี เพราะการพัฒนาในยุคนี้ ก็แค่รถเพิ่ม ถนนเพิ่ม สังคมไทยจึงเป็นแบบรวยกระจุก จนกระจาย

  • นี่เป็นการมองในปัจจุบันหรืออนาคต

กำลังเป็นอยู่ในเวลานี้และจะเลวร้ายขึ้น

  • เลวร้ายอย่างไร

เลวร้ายในแง่ภูมิปัญญาบกพร่อง คิดไม่เป็น ลองดูสื่อในบ้านเรา สื่อคือ ครูคนใหม่ของเยาวชน สื่อไม่ทำตัวเป็นครู สื่อทำตัวเป็นแมลงวันเกาะตามอุจจาระ สื่อไม่มีคุณค่าให้สังคม ในขณะที่สื่อต่างชาติอย่างเกาหลี เขาแอบใส่เนื้อหาและดึงผู้ทรงคุณวุฒิมาร่วมวงกับสื่อมากขึ้น เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ เกาหลีเอาทุกอาชีพมาทำเป็นหนังได้ แต่ละครบ้านเรายังตบตีกันอยู่เลย โฆษณาก็หื่นกาม จะขายของก็โชว์นม โชว์ขา ไม่ว่าเรื่องเพลง หนัง หนังสือ คุณดูอย่างงานสัปดาห์หนังสือที่ผ่านมา หนังสือการตูนขายดีที่สุด

  • ย่ำแย่ขนาดนั้นเลยหรือ

ลองดูไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ถูกฮุบทั้งแผ่นดิน เพราะเราเป็นสังคมรวยกระจุก จนกระจาย แต่ที่ผมคุยเป็นเรื่องทางโลกนะ ผมว่าแก้ไม่ได้ ไม่มีใครสามารถจัดการเรื่องพวกนี้ได้ง่ายๆ

ถ้ามองในแง่ดีโคลนตมยิ่งสกปรก บัวยิ่งสดใสนะ ถ้าประเทศไทยเป็นแบบนี้ มันก็มีข้อดีอย่างหนึ่งคือ คนสนใจธรรมะมากขึ้น

ยิ่งนักการเมืองชั่วมากเท่าไหร่ เอาเปรียบทางสังคมมากขึ้น คนส่วนหนึ่งก็จะมาทางธรรม ไม่น่าเชื่อนะ เพราะไม่มีอะไรดำสนิท

  • นั่นเป็นวิถีแห่งโลก ?

ก็ใช่…แต่ทางโลกไม่จบสิ้นหรอก ใครรวยกว่า ใจเหี้ยมกว่า ก็ชนะ มันเป็นเรื่องกิเลส ฝรั่งเป็นนายทุน เราก็เป็นขี้ข้า ถ้าไม่คิดอะไรมาก ก็ให้ฝรั่งปกครองแผ่นดินไป เราก็โง่ๆ เซ่อๆ กินเงินเดือนไป เป็นซีอีโอเหนื่อยจะตาย (หัวเราะ ) เราก็ไปปฎิบัติธรรม

  • ทำไมคิดแบบนั้น ?

ผมเชื่อว่าการเกิดมาในโลกนี้ ทุกอย่างถูกกำหนดไว้หมดแล้ว ต้องเชื่อเรื่องกรรมก่อน ผมเชื่อว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดในชีวิตไม่มีฟลุ๊ค ถึงแม้วันนี้คนตะวันตกจะคุมประเทศไทยหมด ก็ไม่แปลก แต่คงไม่เกิดขึ้นเพราะคนไทยไม่ยอม ถ้าประเทศไทยจนลง ก็อาจมีผลดี จิตใจอาจพัฒนามากขึ้น

…สมมติประเทศไทยเจริญสุดขีดเหมือนฝรั่ง พุทธศาสนาอาจหมดจากประเทศนี้ก็ได้ ผมมองว่าเราโชคดี เพราะเมืองที่เจริญทางศาสนา เป็นเมืองที่วัตถุต้องไม่เจริญ

ที่มา bangkokbiznews

Share

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.